วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประวัติเพลโต้

เพลโต (ในภาษากรีก: Πλάτων PlátōnอังกฤษPlato) (427 - 347 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นนักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก เขาเป็นลูกศิษย์ของโสกราตีส เป็นอาจารย์ของอริสโตเติล เป็นนักเขียน และเป็นผู้ก่อตั้งอาคาเดมีซึ่งเป็นสำนักวิชาในกรุงเอเธนส์
เพลโตใช้เวลาส่วนใหญ่สอนอยู่ที่อาคาเดมี แต่เขาก็ได้เขียนเกี่ยวกับปัญหาทางปรัชญาไว้เป็นจำนวนมาก โลกปัจจุบันรู้จักเขาผ่านทางงานเขียนที่หลงเหลืออยู่ ที่ถูกนำขึ้นมาแปลและจัดพิมพ์เป็นในช่วงการเคลื่อนไหวด้านมนุษยนิยม งานเขียนของเพลโตนั้นส่วนมากแล้วเป็นบทสนทนาคำคม และจดหมาย ผลงานที่เป็นที่รู้จักของเพลโตนั้นหลงเหลืออยู่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามชุดรวมงานแปลปัจจุบันของเพลโตมักมีบางบทสนทนาที่นักวิชาการจัดว่าน่าสงสัย หรือคิดว่ายังขาดหลักฐานที่จะยอมรับว่าเป็นของแท้ได้
ในบทสนทนาของเพลโลนั้น บ่อยครั้งที่มีโสกราตีสเป็นตัวละครหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความสับสนว่าความเห็นส่วนใดเป็นของโสกราตีส และส่วนใดเป็นของเพลโต

ผลงาน[แก้]

ประเด็นหลัก[แก้]

ในงานเขียนของเพลโต เราจะพบการโต้เถียงเกี่ยวกับรูปแบบของการปกครองทั้งแบบเจ้าขุนมูลนาย และแบบประชาธิปไตย เราจะพบการโต้เถียงเกี่ยวกับผลของสิ่งแวดล้อมกับผลของพันธุกรรม ต่อสติปัญญาและอุปนิสัยของมนุษย์ ซึ่งการโต้เถียงนี้เกิดขึ้นมานานก่อนการโต้เถียงเรื่อง "ธรรมชาติหรือการเลี้ยงดู" ที่มีขึ้นในช่วงเวลาของฮอบบส์ และล็อก และยังมีผลต่อเนื่องมาถึงงานเขียนที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งเช่นหนังสือ The Mismeasure of Man และ The Bell Curve เรายังจะพบข้อคิดเห็นที่สนับสนุนอัตวิสัยและปรวิสัยของความรู้ของมนุษย์ ที่มีผลมาถึงการโต้เถียงสมัยใหม่ระหว่างฮูม และคานท์ หรือระหว่างนักหลังสมัยใหม่นิยมและผู้ที่ไม่เห็นด้วย กระทั่งเรื่องราวของเมืองหรือทวีปที่สาบสูญเช่นแอตแลนติส ก็ยังถูกยกมาเป็นตัวอย่างในงานของเพลโต เช่น Timaeus หรือ Critias.

รูปแบบ[แก้]

เพลโตเขียนงานแทบทั้งหมดในรูปของบทสนทนา ในงานชิ้นแรกๆ ตัวละครสนทนาโดยการถามคำถามกันไปมา อย่างมีชีวิตชีวา ตัวละครที่โดดเด่นคือโสกราตีสที่ใช้รูปแบบของวิภาษวิธีที่ยังไม่ถูกจัดเป็นระบบ กลุ่มของผลงานนี้รวมเรียกว่าบทสนทนาโสกราตีส
แต่คุณภาพของบทสนทนาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตลอดช่วงชีวิตของเพลโต เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างานชิ้นแรกๆ ของเพลโตนั้น วางรากฐานอยู่บนความคิดของโสกราตีส ในขณะที่ในงานเขียนชิ้นถัดๆ มา เขาได้ค่อยๆ ฉีกตัวเองออกจากแนวคิดของอาจารย์ของเขา ในงานชิ้นกลางๆ โสกราตีสได้กลายเป็นผู้พูดของปรัชญาของเพลโต และรูปแบบของการถาม-ตอบ ได้เปลี่ยนเป็นแบบ "เหมือนท่องจำ" มากขึ้น: ตัวละครหลักนั้นเป็นตัวแทนของเพลโต ในขณะที่ตัวละครรองๆ ไป แทบไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจาก "ใช่" "แน่นอน" และ "จริงอย่างยิ่ง" งานชิ้นหลังๆ แทบจะมีลักษณะเหมือนเรียงความ และโสกราตีสมักไม่ปรากฏหรือเงียบไป เป็นที่คาดการณ์กันว่างานชิ้นหลังๆ นั้นเขียนโดยเพลโตเอง ส่วนงานชิ้นแรกๆ นั้นเป็นบันทึกของบทสนทนาของโสกราตีสเอง ปัญหาว่าบทสนทนาใดเป็นบทสนทนาของโสกราตีสอย่างแท้จริง เรียกว่าปัญหาโสกราตีส
ลักษณะการสร้างฉากที่มองเห็นได้ของบทสนทนา สร้างระยะห่างระหว่างเพลโตและผู้อ่าน กับปรัชญาที่กำลังถูกถกเถียงในนั้น ผู้อ่านสามารถเลือกรูปแบบการรับรู้ได้อย่างน้อยสองแบบ: อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาเกี่ยวกับแนวคิดที่กำลังพูดคุยกันอยู่, หรือเลือกที่จะมองเนื้อหาว่าเป็นการแสดงออกถึงอุปนิสัยที่อยู่ในผลงานนั้นๆ
รูปแบบการสนทนาทำให้เพลโตสามารถถ่ายทอดความเห็นที่ไม่เป็นที่นิยมผ่านทางตัวละครที่พูดจาไม่น่าคล้อยตาม เช่น Thrasymachus ในสาธารณรัฐ

อภิปรัชญาของเพลโต: ลัทธิเพลโต หรือ สัจนิยม[แก้]

ผลงานที่เป็นที่จดจำที่สุด หรืออาจเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเพลโต ก็คืออภิปรัชญาแบบทวิภาค ที่มักเรียกกันว่า (ในอภิปรัชญา) ลัทธิเพลโต หรือ (ถ้าเรียกให้เกินจริง) สัจนิยม    อภิปรัชญาของเพลโตได้แบ่งโลกออกเป็นสองมุม คือ โลกของรูปแบบ (form) และโลกที่รับรู้ได้ เขามองว่าโลกที่รับรู้ได้ รวมถึงสิ่งของต่าง ๆ ในนั้น คือ สำเนาที่ไม่สมบูรณ์แบบจาก รูปแบบ ที่คิดคำนึงได้ หรือ แนวความคิด   โดยที่รูปแบบเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลง และอยู่ในสภาวะสมบูรณ์แบบเสมอ   การทำความเข้าใจกับรูปแบบเหล่านี้จะต้องใช้สติปัญญา หรือความเข้าใจเท่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดของการแบ่งแยกนี้ได้มีการค้นพบมาก่อนหน้าเพลโนในปรัชญาของโซโรแอสเตอร์ โดยเรียกว่าโลกมินู (ปัญญา) และ โลกกีติ (สัมผัส) รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับรัฐอุดมคติ ที่โซโรแอสเตอร์เรียกว่า ชาห์ริวาร์ (เมืองอุดมคติ)

เอกสารประกอบการเรียนกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ

1
กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ
อังกฤษเป็นประเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อังกฤษได้สร้างกฎเกณฑ์การ ปกครองประเทศที่เป็นมรดกสำคัญ ซึ่งทิ้งไว้ให้แก่โลก คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาขึ้นดังที่มีประเทศต่าง ๆ จำนวนมาก ต่างพากันใช้ระบบนี้ภายใต้ความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันของ 3 สถาบันหลัก
อังกฤษ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของดินแดนล้อมรอบด้วยทะเล เรียกว่า เกาะบริเตนใหญ่ (Great Britain: G.B.) อันประกอบด้วย 3 ประเทศ หรือแคว้น คือ อิงแลนด์ (England) สกอตแลนด์ (Scotland) และเวลส์ (Wales) แต่ทว่า เมื่อผนวกเอาอีกประเทศหนึ่ง คือ ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) เข้ามารวมอยู่ด้วยแล้ว ทั้งหมดจะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สหราชอาณาจักร” (The United Kingdom : U.K.)
สหราชอาณาจักร ซึ่งถือกำเนิดในปี ค.ศ.1801 นั้น เกิดจากการผนวกรวมของแคว้นต่างๆ ที่เคยเป็นรัฐอิสระมาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเดียวกัน ณ เวสมินเตอร์ ในลอนดอน การผนวกรวมนี้ เกิดขึ้นต่างวาระกัน ปัจจุบันสหราชอาณาจักร จึงประกอบด้วย อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ นั่นเอง ดังนั้น เพื่อความเข้าใจง่าย ในที่นี้ จะขอเรียกสหราชอาณาจักร ว่า อังกฤษ ประเทศอังกฤษ เป็นแม่แบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การมีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อันเนื่องมาจากการที่ประเทศอังกฤษมีประวัติศาสตร์ทางการเมืองการปกครองที่มีพัฒนาการมาเป็นเวลายาวนาน
ในที่นี้ จะกล่าวถึงเรื่องราวของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษที่มีลักษณะพิเศษ เพื่อทำความเข้าใจ และแสดงให้เห็นถึงสภาพทางประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครองของอังกฤษ ที่ส่งผลทำให้อังกฤษมีระบบการปกครองที่ได้รับการยอมรับยิ่งจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก
กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ : รัฐธรรมนูญที่มีชีวิต
กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ คือ อังกฤษเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten Constitution) ซึ่งหมายถึง หลักการปกครองต่างๆ ไม่ได้อยู่รวมกันเป็น รัฐธรรมนูญเฉพาะ แต่กระจายอยู่ตามกฎหมายต่างๆ และคำพิพากษาต่างๆ รวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาจนกลายเป็นจารีตประเพณี ดังนั้น จึงมีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เสมือนเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งที่กล่าวมานี้ทำให้รัฐธรรมนูญอังกฤษมีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง อันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการยาวนานของระบอบประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจของกลุ่ม และชนชั้นต่างๆ กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษจึงเป็นการค่อยๆ ลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ลงที่ละเล็กละน้อย ดังจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญอังกฤษในยุคแรกเป็นการดุลอำนาจระหว่างพระมหากษัตริย์กับกลุ่มขุนนาง ต่อมาในศตวรรษที่ 19 มีรัฐธรรมนูญที่เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางมากขึ้น เรื่อยมาจนเป็นรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 20
2
ดังนั้น การที่จะเข้าใจรัฐธรรมนูญอังกฤษที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากประเทศอื่นๆ นั่นก็คือ การที่มีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร จึงควรทำความเข้าใจเบื้องต้นถึงประวัติ และที่มาของรัฐธรรมนูญรวมถึงหลักการสำคัญที่ถูกกำหนดเป็นพื้นฐานของรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะเห็นภาพรวมของรัฐธรรมนูญอังกฤษ
ประวัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ รัฐธรรมนูญอังกฤษในยุคแรกๆ มีบทบัญญัติที่สำคัญดังนี้
• บทบัญญัติแมคนาคาร์ตา (Magna Carta 1215)
ในสมัยพระเจ้าจอห์นซึ่งพระองค์ต้องการเงินทำสงคราม จึงบังคับให้ประชาชนเสียภาษีมากขึ้นและทำการปกครองโดยการกดขี่ประชาชนทำให้ประชาชนเดือดร้อน จนก่อให้เกิดการรวมกำลังต่อต้านพระมหากษัตริย์ และบังคับให้พระเจ้าจอห์นลงพระนามในเอกสารที่สำคัญ คือ บทบัญญัติแมคนาคาร์ตา ในปี ค.ศ. 1215 ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ (1) พระเจ้าแผ่นดินจะเรียกเก็บภาษี หรือขอให้ราษฎรให้ความช่วยเหลือไม่ได้ นอกจากจะได้รับความยินยอมจากที่ประชุมหัวหน้าราษฎร (2) การงดใช้กฎหมาย หรือการยกเว้นไม่ใช้กฎหมายบังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะกระทำไม่ได้ (3) บุคคลใดๆ จะถูกจับกุมคุมขัง หน่วงเหนี่ยว หรือขับไล่เนรเทศไม่ได้ นอกจากการนั้นเป็นไปโดยคำพิพากษาที่ชอบ และตามกฎหมายของบ้านเมือง นอกจากนี้บทบัญญัติแมคนาคาร์ตาถือเป็นรากเหง้าของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญประเทศอังกฤษ และเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์การปกครองของอังกฤษ รวมทั้งวางหลักวิธีพิจารณาความของอังกฤษด้วย
• คำขอสิทธิ (Petition of Right, 1628)
เป็นเอกสารที่วางพื้นฐานให้ประชาชนสามารถประท้วงพระมหากษัตริย์ ในเรื่องของการเก็บภาษี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐสภา การจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ และการกระทำอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบถึงเสรีภาพของประชาชน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงจำยอมต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้ทุกข้อ
• พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (Bill of Rights, 1689)
เป็นการยุติพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ละเว้น และเพิกเฉยต่อการออกกฎหมายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐสภา ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของสภาสามัญ ในการต่อสู้ กับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มาเป็นเวลายาวนาน
• กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ (The Act of Settlement, 1701)
ไม่เพียงแต่บัญญัติเรื่องของการสืบสันตติวงศ์เท่านั้น แต่ยังได้วางหลักความเป็นอิสระในการพิพากษาคดีของศาล และวางเงื่อนไขหลักการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญเอาไว้อีกด้วย
3
ที่มาของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ
ถึงแม้ว่าอังกฤษจะไม่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ประมวลกฎหมายทั้งปวงไว้ด้วยกัน แต่กระจัดกระจายอยู่ในรูปแบบกฎหมาย จารีตประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญอังกฤษยังมี องค์ประกอบจากที่มาหลายแหล่ง ซึ่งที่สำคัญๆ ได้แก่
• กฎหมายที่บัญญัติขึ้น (Statute Law)
เป็นแหล่งสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติที่บัญญัติขึ้นโดยรัฐสภา (Act of Parliament) และกฎหมายรองที่ตราขึ้นตามอำนาจที่พระราชบัญญัติมอบให้ เช่น พระราชบัญญัติ รัฐสภา พระราชบัญญัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น
• กฎหมายจารีต (Common Law)
ประกอบด้วย กฎ ระเบียบ และจารีตประเพณี ที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งศาลได้ตีความวินิจฉัยแล้วให้ความเห็นชอบด้วย จึงถือเป็นกฎหมายที่มีมาก่อน (Precedent) และกลายเป็นพื้นฐานที่สำคัญของระบบกฎหมายอังกฤษ รัฐสภายอมรับบทบัญญัติต่างๆ ของกฎหมายจารีต ในการบัญญัติกฎหมายของสภา กฎหมายจารีตที่สำคัญ ได้แก่ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เช่น อำนาจในการทำสนธิสัญญา อำนาจประกาศสงคราม อำนาจยุบสภาอำนาจพระราชทานอภัยโทษ เป็นต้น
• ธรรมเนียมปฏิบัติ (Conventions Law)
คือ กรอบการประพฤติปฏิบัติเชิงรัฐธรรมนูญที่มีมาเป็นระยะเวลานาน แต่ไม่ถือเป็นกฎหมาย ไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้ ธรรมเนียมปฏิบัติในทางรัฐธรรมนูญอาจแบ่งออกได้เป็น (1) ธรรมเนียมเกี่ยวกับการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบบคณะรัฐมนตรี ที่สำคัญ อย่างเช่น พระราชดำรัสที่พระมหากษัตริย์ทรงอ่านในพิธีเปิดรัฐสภาตามที่สภาสามัญเป็นผู้เขียนขึ้นทูลเกล้า ถือเป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ รวมถึง ธรรมเนียมปฏิบัติที่พระมหากษัตริย์จะไม่ทรงยับยั้งร่างกฎหมายที่ผ่านเห็นชอบของรัฐสภาอย่างถูกต้องตามขั้นตอนสภาแล้ว
(2) ธรรมเนียมที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสภาขุนนางกับสภาสามัญ รวมถึงวิธีการดำเนินการทางรัฐสภาด้วย เช่น มีขนบธรรมเนียมในรัฐสภาว่า สมาชิกที่เข้าอภิปรายในรัฐสภาเป็นครั้งแรก จะมีเอกสิทธิ์ในการพูดโดยไม่มีผู้ใดว่ากล่าวอะไรทั้งสิ้น หรือประธานสภาจะต้องไม่ฝักใฝ่กับพรรคการเมืองใด รวมทั้งการที่ขุนนางที่ไม่ใช่ขุนนางกฎหมาย (Law Lords) จะไม่เข้าร่วมพิจารณาคดีในสภาขุนนาง หรือการที่ประธานสภาจะต้องให้โอกาสแก่สมาชิกพรรคข้างน้อยในสภาได้อภิปรายสลับกันกับสมาชิกพรรคการเมืองข้างมาก เป็นต้น (3) ธรรมเนียมที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับประเทศในเครือจักรภพ เช่น รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรจะไม่ตรากฎหมายใช้บังคับแก่ประเทศอาณาจักร เว้นแต่ได้รับการร้องขอและได้รับความยินยอมจากประเทศอาณาจักรนั้นๆ
• ข้อเขียนที่เชื่อถือได้ (Work of Authority)
ผลงานการตีความกฎหมาย โดยอาศัย หนังสือ และข้อเขียนที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นแนวทางในการตี
                                                             4
ความของรัฐธรรมนูญ เช่น ผลงานเรื่องAn Introduction to the Study of the Law of the Constitution 1885 ของ A. V. Dicey ผลงานของ Walter Bagehot ชื่อ The English Constitution 1867 เป็นต้น ผลงานเหล่านี้เป็นที่ยอมรับในแวดวงการเมือง กฎหมาย และวิชาการ ซึ่งได้กลายมาเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาตีความกฎหมายต่างๆ
• กฎหมายประชาคมยุโรป (European Community Law)
เนื่องจากอังกฤษร่วมอยู่ในสหภาพยุโรป (European Union) ตามพระราชบัญญัติประชาคมยุโรป ปี ค.ศ. 1972 อังกฤษจึงยอมรับในความเหนือกว่าของกฎหมาย และระเบียบ สนธิสัญญา ข้อผูกพันต่างๆ และการตัดสินใจร่วมกันของสหภาพยุโรป ตัวอย่างสภาขุนนาง มีความเห็นว่า พระราชบัญญัติการค้าทางเรือ ปี ค.ศ. 1988 นั้น ผิดกฎหมาย เนื่องจากมีความขัดแย้งกับกฎหมายสหภาพยุโรป
หลักการสำคัญๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ
หลักการสำคัญ (Main Principles) หรือองค์ประกอบพื้นฐาน (Essential Constituents) ของรัฐธรรมนูญอังกฤษที่มีผลต่อระบบการปกครอง มีอยู่ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นเอกรัฐ / รัฐเดี่ยว (Unitary State)
สถานภาพที่อังกฤษ เป็นการรวมตัวกันทางการเมืองขึ้นมาเป็นสหราชอาณาจักรของหลายประเทศ แต่อังกฤษกลับคงสภาพเป็นรัฐเดี่ยวตลอดมา ทั้งนี้ เห็นได้จากการที่อำนาจในทางการปกครองของอังกฤษเป็นของรัฐสภาที่ลอนดอน แทนที่จะแบ่งให้สภาอื่นๆ ที่อยู่รวมกันเป็นสหราชอาณาจักร เนื่องมาจากเหตุผลสำคัญ คือ อิงแลนด์ มีประชากร และทรัพยากรที่มากกว่าแคว้นอื่นๆ อีกทั้งมีอำนาจทางการเมืองในประวัติศาสตร์มากพอที่จะทำให้ส่วนอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร ยอมต่ออำนาจของอิงแลนด์
2. อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา (Parliamentary Sovereignty)
อำนาจอธิปไตยโดยรัฐสภาเป็นลักษณะสำคัญของรัฐธรรมนูญอังกฤษ ในการใช้อำนาบัญญัติกฎหมาย ผู้ใช้อำนาจนี้ได้แก่ พระมหากษัตริย์ สภาขุนนาง และสภาสามัญ พระราชบัญญัติของรัฐสภาถือเป็นกฎหมายสูงสุดไม่มีกฎหมายใดมีอำนาจเหนือกว่า ศาลไม่สามารถพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ทำได้เพียงการตีความกฎหมายเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติรัฐสภาสามารถถูกตรวจสอบในรูปแบบของการยับยั้งความต้องการในการต่อรองของกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจและสมาชิกรัฐสภาได้
3. การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Membership of the Europe Union)
อังกฤษเข้าร่วมในประชาคมยุโรป เมื่อปี ค.ศ. 1973 โดยอังกฤษได้ตราพระราชบัญญัติซึ่งยอมรับว่ามีองค์กรตัดสินใจเหนือรัฐตน ซึ่งเท่ากับว่ากฎหมายสหภาพยุโรปที่มีผลบังคับใช้ โดยตรงต่อประเทศสมาชิก มีผลผูกมัดโดยทั่วไปในอังกฤษ ความเป็นอิสระของอังกฤษในการดำเนินโยบายหลายอย่างถูกจำกัดโดยการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และรัฐสภาอังกฤษไม่สามารถทำการนิติบัญญัติในเรื่องบางเรื่อง และเรื่องที่ทำได้ก็ต้องทำในกรอบที่สหภาพยุโรปวางไว้ แต่อย่างไรก็ตามศาลยุโรปไม่มีสิทธิพิจารณาให้กฎหมายอังกฤษเป็นโมฆะได้ อีกทั้งรัฐสภาของอังกฤษสามารถถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
5
ได้ กล่าวโดยสรุปคือ การที่อังกฤษเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปทำให้อังกฤษได้สละอำนาจอธิปไตยบางส่วนไปนั่นเอง
4. หลักนิติธรรม (Rule of Law)
เป็นหลักการที่ฝังรากลึกในรัฐธรรมนูญอังกฤษ และเป็นหลักการที่ขาดไม่ได้สำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
หลักนิติธรรม หมายถึง หลักกฎหมายที่เป็นความคิดเกี่ยวข้องกับกระบวนการ สิทธิ เสรีภาพของบุคคลที่อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเป็นกลาง เสมอภาค เพื่อนำไปสู่ความเป็นธรรม ฝ่ายตุลาการต้องเป็นอิสระ และการตัดสินใจทางด้านตุลาการต้องมีจุดมุ่งหมายที่จะ คุ้มครองสิทธิของปัจเจกบุคคลที่จะถูกพิจารณาต่อหน้าศาล หลักนิติธรรมจึงเป็นไปเพื่อคุ้มครอง ปกป้องสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนจาการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมทั้งจากบุคคลอื่นและจากรัฐ
5. ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาภายใต้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข (Parliamentary Government Under a Constitutional Monarchy)
ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของอังกฤษนั้น พระมหากษัตริย์จะทรงมีภารกิจที่สำคัญตามรัฐธรรมนูญในเชิงพิธีการ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ส่วนในทางการเมืองนั้นทรงกระทำการตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี เช่น อำนาจในการเรียกประชุมสภา ยุบสภา อำนาจในการประกาศสงคราม การแต่งตั้งรัฐมนตรี และการให้อภัยโทษ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์อังกฤษเป็นราชวงศ์หนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความยั่งยืน และได้รับการยอมรับ โดยลักษณะสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษได้แก่ (1) ระบบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และสืบทอดโดยการสืบสันตติวงศ์ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา (2) พระมหากษัตริย์ คือประมุขของประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ และรัฐธรรมนูญมีบทบาททางพิธีการ (3) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (4) พระมหากษัตริย์ต้องนับถือศาสนาคริสต์ นิกายอังกฤษ (Church of England) (5) พระมหากษัตริย์ กษัตริย์จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ (6) พระมหากษัตริย์ทรงบรรลุนิติภาวะเมื่อมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา (7) อำนาจดั้งเดิมของพระมหากษัตริย์เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ การบริหารอำนาจในปัจจุบัน โดยผ่านการถวายคำแนะนำจากผู้นำฝ่ายบริหาร ได้แก่ นายกรัฐมนตรี อาทิ อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พระราชาคณะ ผู้พิพากษาอำนาจในการยุบและเรียกประชุมสภา การประกาศสงคราม การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ (8) พระมหากษัตริย์ทรงทำผิดไม่ได้ (The King Can Do No Wrong) รัฐบาลในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อพระมหากษัตริย์
6
ในส่วนต่อไปจะกล่าวถึงสถาบันการปกครองของอังกฤษโดยเริ่มจากสถาบันนิติบัญญัติที่ถือว่ามีอำนาจอธิปไตยสูงสุด ตามด้วยอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการตามลำดับ ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงการเมืองการปกครองที่ไม่ได้แบ่งแยกอำนาจเด็ดขาดระหว่างสถาบันการเมืองต่างๆ ของอังกฤษ
ระบบการเมืองอังกฤษ
สหราชอาณาจักร หรืออังกฤษ เป็นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ซึ่งใช้อำนาจภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่บางส่วนมาจากกฎหมายที่ร่างขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ขณะที่อีกบางส่วนมาจากจารีตประเพณี ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า หลักการที่สำคัญที่สุดของระบบการเมืองอังกฤษ คือ อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา กล่าวคือ รัฐสภามีอำนาจในการตรา หรือยกเลิก พระราชบัญญัติใดก็ได้ ตามที่เห็นสมควร พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาถือเป็นกฎหมายสูงสุดไม่มีกฎหมายใดมีอำนาจเหนือกว่า ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ทำได้เพียงการตีความกฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น แต่ในทางกฎหมาย และประเพณี ผู้ที่บริหารอำนาจนี้ ประกอบด้วย 3 สถาบัน ได้แก่ พระมหากษัตริย์ สภาขุนนาง และสภาสามัญ Dicey นักกฎหมายของอังกฤษได้กล่าวถึงหลักการอำนาจสูงสุด หรืออธิปไตยของรัฐสภาอังกฤษ ไว้ว่า “รัฐสภามีสิทธิที่จะออกกฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมายใดๆ ก็ได้ ไม่มีผู้ใดในอังกฤษที่จะมีสิทธิเพิกเฉย หรือละเมิดต่อกฎหมายรัฐสภา” หรือคำกล่าวของ Kavanagh ที่ให้ความหมายอำนาจอธิปไตยของรัฐสภาว่า หมายถึง “รัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งอังกฤษมีสิทธิในการที่จะบัญญัติ หรือไม่บัญญัติกฎหมายใดๆ และไม่มีบุคคลใดจะได้รับการยอมรับโดยกฎหมายอังกฤษที่จะมีสิทธิล้มล้างกฎหมายที่บัญญัติโดยรัฐสภา” ด้วยเหตุที่ไม่มีกฎหมายใด เช่น รัฐธรรมนูญ ที่อยู่เหนือพระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภา จึงเท่ากับว่า พระราชบัญญัติรัฐสภา ถือเป็นกฎหมายสูงสุด
โดยสรุปจะเห็นได้ว่า ระบบรัฐสภาซึ่งมีอำนาจสูงสุด และเป็นหลักของการปกครองอังกฤษในปัจจุบันนั้น วิวัฒนาการมาจากสภาใหญ่ (Great Council) ของกษัตริย์สมัยก่อนที่พระมหากษัตริย์ทรงอาศัยสภาเป็นที่ปรึกษา และสภาก็ขยายจำนวนมากขึ้น ตามสถานการณ์นานาประการ
ฝ่ายนิติบัญญัติ
รัฐสภาของอังกฤษมีความเป็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เมื่อมีบทบัญญัติแมคนาคาร์ตา ซึ่งทำให้
พระมหากษัตริย์ต้องทรงรับฟังคำปรึกษาหรือจากขุนนาง และผู้นำชุมชน การเข้าเฝ้าเพื่อให้คำปรึกษานั้นจึงเป็นที่มาของการเกิดรัฐสภาอังกฤษ ในระยะแรกเริ่มรัฐสภาจะมีกษัตริย์เข้าร่วมประชุมด้วยเสมอ แต่ในสมัยต่อมาบทบาทของพระมหากษัตริย์ในรัฐสภาเป็นเพียงพิธีการ เท่านั้น จากวิวัฒนาการความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทำให้สถาบันทางการเมืองของอังกฤษมีความมั่นคง และมีเสถียรภาพ รัฐสภาจึงเป็นสถาบันหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของระบบการเมือง และการปกครองของอังกฤษ เป็นสถาบันที่ขาดไม่ได้ในระบอบการเมืองอังกฤษและได้กลายเป็นแบบอย่างของการปกครองแบบรัฐสภาในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
7
รัฐสภาสหราชอาณาจักรมีอำนาจหลักในการบัญญัติกฎหมายขึ้น เพื่อบังคับแก่กิจการทั้งปวง รวมทั้งบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองให้มีผลเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรด้วย และมีหน้าที่ สรุปได้ดังนี้
(1) พิจารณาออกกฎหมาย และพระราชบัญญัติต่างๆ (2) พิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีและการคลังของรัฐบาล (3) พิจารณานโยบายและกำกับดูแลการบริหารของรัฐบาล
ส่วนประกอบของรัฐสภาอังกฤษแบ่งออกเป็น สภาสามัญชน (the House of Commons) และสภาขุนนาง (the House of Lords) ในทางทฤษฎีนั้น จะรวมเอาพระมหากษัตริย์เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาด้วย
พระมหากษัตริย์
สหราชอาณาจักรมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและสัญลักษณ์ของประเทศ (ปัจจุบันประมุขคือ สมเด็จพระราชินี อลิซาเบธที่ 2 ซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์) โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายต่างๆ และแม้จะไม่มีอำนาจใดๆ ทางการเมือง แต่ก็ทรงใช้อำนาจการบริหารผ่านคณะรัฐมนตรีได้ นอกจากนี้ ทรงมีอำนาจในการเรียกประชุม หรือยุบสภา ตลอดจนให้ความเห็นชอบต่อร่างพระราชบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ อย่างไรก็ตาม พระมหากษัตริย์ก็มีสิทธิที่จะได้รับทราบถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าถวายรายงานทุกสัปดาห์ บทบาทที่สำคัญทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ ได้แก่ การกล่าวพระราชดำรัสต่อที่ประชุมรัฐสภาในการเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งถือว่าพระราชดำรัสดังกล่าว เป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล
สภาขุนนาง
สภาขุนนางของอังกฤษน่าจะเป็นสภาที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วย สมาชิกประมาณ 1,000 คน (จำนวนอาจเปลี่ยนแปลงได้) สมาชิกของสภานี้ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนไม่มีอำนาจที่จะถอดถอน หรือควบคุมสมาชิกสภาขุนนาง สมาชิกสภาขุนนางสามารแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ (1) ขุนนางฝ่ายศาสนา (Lords Spiritual) ได้แก่ ผู้นำทางศาสนจักรที่ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ของ ศริสต์ศาสนานิกายต่างๆ หรือ บุคคลระดับสูงทางฝ่ายศาสนาของ Church of England ในระดับ Archbishops ประมาณ 25-30 คน เป็นสมาชิกเฉพาะตัวไม่มีการตกทอดโดยการสืบทอดสายโลหิต สมาชิกประเภทนี้จะมีบทบาทสำคัญในกรณีที่มีปัญหาทางศาสนา ปัญหาทางจริยธรรมและศีลธรรม (2) ขุนนางฝ่ายฆราวาส (Lords Temporal) ซึ่งมีทั้งที่เป็นโดยสืบเชื้อสาย เช่น ราชวงศ์ที่เป็นชาย ท่านผู้หญิง ขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์สูงโดยตำแหน่ง เช่น ขุนนางกฎหมาย (Law Lords) ที่มีความสามารถ และมีชื่อเสียงมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นศาล และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย และโดยการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต เนื่องด้วยทำความดีความชอบแก่ประเทศ ไม่มีการสืบตระกูลจำนวนสมาชิกสภา
8
ขุนนางมีไม่ต่ำกว่า 900 คน แต่ในทางปฏิบัติสมาชิกจะมาประชุมคราวละประมาณ 1 ใน 3 ของสมาชิกที่เข้าประชุมอย่างสม่ำเสมอมีประมาณ 50-60 คนเท่านั้น ในอดีตสภาขุนนางมีอำนาจมาก แต่ต่อมาเมื่อมีการขยายสิทธิเลือกตั้งในศตวรรษที่ 19 ฐานะของสามัญชนสูงขึ้น เพราะใกล้ชิดกับประชาชน ทำให้มีความเป็นประชาธิปไตย ในขณะที่สภาขุนนางจำกัดกลุ่มอยู่เฉพาะผู้ที่เป็นเจ้านายมีตระกูล และในปี 1911 ได้มีพระราชบัญญัติ Parliament Act 1911 และ 1949 ซึ่งเป็นการลดอำนาจสภาขุนนางอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ในปัจจุบันอำนาจของสภาขุนนางจึงลดน้อยลงมาก
หน้าที่ของสภาขุนนาง
ถึงแม้ว่าสภาขุนนางจะมีอำนาจลดลง ทว่าสภาขุนนางเป็นสัญลักษณ์ในเชิงอนุรักษ์นิยมของอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอังกฤษ หน้าที่หลักของสภาขุนนาง ได้แก่ (1) อำนวยความสะดวกในการพิจารณาร่างกฎหมายที่ไม่เร่งด่วน และไม่เป็นปัญหาขัดแย้งกันมากในรัฐสภา ร่างกฎหมายประเภทนี้จะเสนอต่อสภาขุนนางก่อน (2) ทบทวนร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาจากสภาสามัญชน และสามารถยับยั้งร่างกฎหมายไว้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น (3) ในกรณีที่คดีมีความสำคัญสำหรับสาธารณชน สภาขุนนาง ก็จะเป็นผู้พิจารณาฎีกาในขั้นสุดท้าย ดังนั้นสภาขุนนาง จึงมีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นศาลสูงสุดของประเทศ
สภาสามัญชน
ฝ่ายนิติบัญญัติที่มีบทบาทในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง ได้แก่ สภาสามัญชน มีวิวัฒนาการมาจากความตั้งใจที่จะให้เป็นตัวแทนของประชาชนในประเทศโดยไม่จำกัดชั้นวรรณะ เพื่อให้มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ คอยวิพากษ์ วิจารณ์ และควบคุมการบริหารประเทศของรัฐบาล สมาชิกสภาสามัญประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 659 คน (แล้วแต่จำนวนประชากร) แบ่งเป็น 529 ที่นั่งจากอังกฤษ 72 ที่นั่ง จากสก๊อตแลนด์ 40 ที่นั่ง จากเวลส์ และ 18 ที่นั่ง จากไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เขตละหนึ่งคน (Single Constituency) โดยผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้งจะเป็นผู้ชนะ วาระของสภาสามัญชนมีอายุกำหนดคราวละ 5 ปี หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแต่ละคราว แต่นายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาก่อนครบวาระ และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปก่อนครบกำหนดได้ หรือรัฐสภาอาจมีวาระมากกว่า 5 ปีได้ หากจำเป็นต่อประเทศชาติ หรือภาวะฉุกเฉิน สมาชิกสภาสามัญชนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพอย่างอื่นในขณะดำรงตำแหน่งนักการเมืองอาชีพมีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น
หน้าที่ของสภาสามัญชน
สภาสามัญชนซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน และสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยของอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถาบันฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) หน้าที่ในการตรวจสอบทางนิติบัญญัติ สภาสามัญใช้เวลาส่วนใหญ่ในการตรวจสอบพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐบาลซึ่งขั้นตอนพิจารณากฎหมายของสภาสามัญชน แบ่งออกเป็นวาระแรกนำเสนอร่างพระราชบัญญัติอย่างเป็นทางการต่อที่
9
ประชุมสภา โดยไม่มีการอภิปราย วาระที่ 2 อภิปรายหลักการของร่างพระราชบัญญัติโดยรัฐมนตรี ส.ส. คณะกรรมาธิการ และรายงานต่อที่ประชุมสภาเพื่อพิจารณาแก้ไข เพิ่มเติม หากไม่มีการแก้ไขจึงเข้าสู่ วาระที่สาม เพื่อให้ทั้งสภาพิจารณาผ่านร่างพระราชบัญญัติ โดยการลงมติ เมื่อผ่านขั้นตอนของสภาสามัญชนครบแล้วจึงเสนอร่างฯ ไปยังสภาขุนนางหากสภาขุนนางมีข้อแก้ไขก็จะกลับสู่สภาสามัญชนในขั้นตอนของการอภิปรายข้อแก้ไขของสภาขุนนาง (the Lords’ Amendments) เมื่อผ่านร่างฯ ทั้งสองสภาแล้ว จึงถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธย เป็นพระราชบัญญัติ (Act)
2) หน้าที่ในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร สภาสามัญชนมีหน้าที่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ตรวจสอบฝ่ายบริหารซึ่งสามารถกระทำได้โดยการอภิปราย Debates ซึ่งมีทั้งในรูปแบบที่ผู้นำฝ่ายค้านเสนออภิปรายนโยบายของรัฐบาล กระทำได้ 20 ในต่อสมัยประชุมเรียกว่า Opposition Daysหรือรัฐบาลอาจหยั่งหาความคิดเห็นในเรื่องที่ยังไม่ได้กำหนดเป็นนโยบาย เรียกว่า Adjournment และส.ส. อาจยกเรื่องที่มีความเร่งด่วนมาอภิปรายให้รัฐบาลจัดการ เรียกว่า Emergency ซึ่งมีเพียง 4 ครั้งต่อสมัยประชุม เป็นต้น การอภิปรายช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลตรวจสอบรัฐบาลได้มากขึ้นแต่ในทางปฏิบัติการอภิปรายเมื่อมีการลงคะแนนเสียงฝ่ายรัฐบาลก็เป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ การตั้งกระทู้ถาม Question Time ทุกชั่วโมงแรกของการประชุมจะมีช่วงเวลาที่เรียกว่า Question Time เพื่อให้ ส.ส. สามารถตั้งคำถามต่อรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งในเรื่องที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีท่านนั้น และให้รัฐมนตรีมีเวลาเตรียมตัวเพียง 2 วันเพื่อตอบคำถาม นอกจากนี้ยังมีช่วงเวลา Prime Minister’s Questions ให้ผู้นำฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีในลักษณะเดียวกัน โดย ส.ส. สามารถามเสริมได้ การตั้งคณะกรรมาธิการเฉพาะเรื่อง (Select Committees) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ และตรวจสอบการทำงานของกระทรวงต่างๆซึ่งคณะกรรมาธิการของ สภาสามัญสามารถแบ่งออกได้เป็น
(1) คณะกรรมาธิการเต็มสภา (Committee of the Whole House) ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดของสภาสามัญทำหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีความสำคัญ (2) คณะกรรมการสามัญ (Standing Committee) ซึ่งมีประมาณ 5-7 คณะ คณะหนึ่งมีประมาณ 20-50 คน เลือกจากพรรคต่างๆ ตามอัตราส่วนของที่นั่งในสภาสามัญ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัตินั้นเป็นกรรมาธิการด้วย (3) คณะกรรมการวิสามัญ (Select Committees) เพื่อทำหน้าที่เฉพาะเรื่องที่ต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ เช่น คณะกรรมาธิการกิจการบัญชีของรัฐ คณะกรรมาธิการ พิจารณากฎหมายเฉพาะเรื่อง เป็นต้น (4) คณะกรรมาธิการร่วมกันสองสภา (Joint Committees) เป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภาสามัญชน และสภาขุนนางเพื่อร่วมกันพิจารณาเรื่องที่ไม่ เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น ร่างพระราชบัญญัติเอกชนที่สำคัญๆ
10
3) หน้าที่ในการควบคุมทางการคลัง เป็นวิธีการที่สภาสามัญชนใช้ควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล โดยการอนุมัติงบประมาณ ให้ความเห็นชอบการใช้จ่ายงบประมาณ และคอยตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล จะเห็นได้ว่า รัฐสภาเป็นสถาบันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการเมือง และการปกครองของอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางด้านนิติบัญญัติและบทบาทในฐานะสถาบันที่คอยค้ำจุนอำนาจของรัฐบาล อย่างไรก็ดีอำนาจของรัฐสภาอังกฤษในปัจจุบันกลับลดน้อยถอยลง เมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจของฝ่ายบริหาร ทั้งนี้เนื่องจากระบบพรรคการเมืองที่เข้มแข็งของอังกฤษนั่นเอง
ฝ่ายบริหาร
องค์กรสูงสุดของฝ่ายบริหารในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาอังกฤษ คือ รัฐบาลซึ่งทำหน้าที่หลักรับผิดชอบในการบริหารงานของประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล และรัฐมนตรีอื่นๆ ทั้งหมด ก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี กล่าวคือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้น หัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งได้จำนวนที่นั่งข้างมากในสภาสามัญชน และได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาสามัญชนหัวหน้าพรรคนั้น จะได้รับแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) และได้รับมอบหมายให้จัดตั้งคณะรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการสรรหาบุคคลเป็นรัฐมนตรี (Minister) เพื่อประกอบขึ้นเป็นคณะ รัฐมนตรี (Cabinet) โดยเสนอให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งรัฐมนตรีส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบัน มักเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปกติจะถูกเลือกจากบุคคลในพรรคของตนเพื่อเสถียรภาพทางการเมืองโดยนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาจากการยอมรับในตัวรัฐมนตรี ของสมาชิกรัฐสภา สมาชิกพรรค และประชาชน รวมถึงการให้โอกาสแก่นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีความสามารถได้เป็นรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจำเป็นต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีซึ่งเป็นสมาชิกของสภาขุนนางด้วย เพื่อเป็นโฆษกในการอธิบายนโยบาย และการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลต่อสภาขุนนาง หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี อย่างเช่น รายงานกิจการงานฝ่ายบริหารต่อองค์พระประมุข รวมทั้งเป็นประธานของคณะรัฐมนตรีควบคุมงานของทุกกระทรวง ตัดสินปัญหาข้อขัดแย้งของกระทรวงต่างๆและอนุมัติการตัดสินใจที่สำคัญของกระทรวงต่างๆ ในกรณีที่ไม่ต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นต้น แน่นอนว่า อำนาจของนายกรัฐมนตรี ก็คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องของการป้องกันประเทศ การต่างประเทศ เศรษฐกิจ และความมั่นคงแห่งชาติ โดยที่อำนาจที่สำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรี ก็คือ อำนาจในการยุบสภา โดยการกราบบังคมทูลขอให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ เมื่อใดก็ได้ โดยไม่ต้องปรึกษาคณะรัฐมนตรี แต่อย่างใด
ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมีนายกรัฐมนตรีมาแล้วทั้งสิ้น 13 คน คนปัจจุบัน คือนายโทนี่ แบลร์ จากพรรคแรงงาน (Labor Party) และจากประวัติศาสตร์การเลือกตั้งที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจะสลับหมุนเวียนกันระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคแรงงาน สำหรับคณะรัฐมนตรี (Cabinet) มีวิวัฒนาการมา
11
จากคณะองคมนตรีในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ และในศตวรรษที่ 18 ได้ค่อยๆ เป็นอิสระจากสถาบันกษัตริย์ จนเชื่อมโยงใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (Departmental Ministers) ที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานของกระทรวงต่างๆ ประมาณ 22 คน รวมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ (Ministers of State) อีก รวมเป็นคณะรัฐบาลกว่า 100 คน ซึ่งตามกฎหมายไม่มีการกำหนดเรื่องจำนวนรัฐมนตรี โดยจะอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี
ด้วยความที่คณะรัฐมนตรีต้องได้รับความสนับสนุนจากสมาชิกสภาสามัญชนเสียงข้างมากดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงไม่ได้เป็นอิสระจากสภาสามัญชน แต่ต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อสภาสามัญชน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจเด็ดขาดระหว่างกันนั่นเอง หน้าที่หลักของคณะรัฐมนตรี สามารถสรุปได้กว้างๆ คือ การร่างกฎหมาย ตัดสินนโยบาย และเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ นอกจากนั้น คณะรัฐมนตรียังรับผิดชอบในการควบคุม และประสานงานกระทรวงสำคัญๆ ของประเทศ มอบหมายให้กระทรวง ทบวง กรมรับนโยบายไปปฏิบัติ อีกทั้งคณะรัฐมนตรี อาจเสนอให้ยุบสภาสามัญชนเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้อีกด้วย ดังนั้น โดยสรุป ฝ่ายบริหาร โดยการนำของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จึงเป็นกลไกสำคัญในการบริหารประเทศ โดยเชื่อมโยงกับฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะสมาชิกสภาสามัญชนจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทำให้ฝ่ายบริหารจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาสามัญชน และจะต้องรับผิดชอบต่อสภา และประชาชน ฝ่ายตุลาการ
ประกอบด้วยผู้พิพากษาที่มาจากวงการวิชาชีพนักกฎหมาย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี หรือ ประธานสภาขุนนาง อำนาจของฝ่ายตุลาการในระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษ มีน้อยกว่าอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร เนื่องจากศาลมีหน้าที่อย่างจำกัดในการตีความพระราชบัญญัติที่รัฐสภาเป็นผู้ออก ไม่มีอำนาจบ่งชี้ว่าพระราชบัญญัติฉบับใดมีลักษณะขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ทั้งนี้เป็นไปตามหลักการอำนาจอธิปไตยของรัฐสภา (Sovereignty of Parliament) ที่มีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ดี ฝ่ายตุลาการของอังกฤษนั้น มีความยึดโยงกับรัฐสภามาก ดังเห็นได้จากการที่หัวหน้าฝ่ายตุลาการ คือ Lord Chancellor มีหน้าที่แต่งตั้งผู้พิพากษาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และอาจเป็นหัวหน้าคณะผู้พิพากษาเมื่อสภาขุนนางทำหน้าที่ศาลอุทธรณ์ และก็เป็นนักกฎหมายอาวุโสที่เป็นสมาชิกสภาขุนนาง (Law Lords) ซึ่งทำหน้าที่ประธานสภาขุนนาง ในขณะเดียวกันก็เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วย (The Cabinet) ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล โดยนัยนี้ ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถเข้าตรวจสอบการทำงานของฝ่ายตุลาการได้ ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง Home Office (Home Secretary) ก็มีอำนาจเสนอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่ หากมีข้อเท็จจริงปรากฏเพิ่มขึ้นมาลักษณะนี้เป็นลักษณะสำคัญของประชาธิปไตยอังกฤษที่ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจอย่างเด็ดขาดระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ และบริหาร กับ อำนาจตุลาการ
12
การควบคุมอำนาจ (The Control of Power)
การปกครองโดยรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงกับทฤษฎีเสรีนิยมที่มีแนวคิดที่จะหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวของอำนาจอย่างยิ่ง โดยให้มีการแบ่งอำนาจกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ในการทำหน้าที่ (separation of powers) ตลอดจนให้บุคลากรไม่ซ้อนกัน ฝ่ายต่างๆ จึงจะตรวจสอบและ ถ่วงดุลกันได้ (check and balances) นั่นเอง กระนั้นก็ดี ในอังกฤษ ปัจจุบัน การแยกอำนาจในแง่ของการใช้ตัวบุคคลต่างกันมีอยู่ในกรณี ของฝ่ายตุลาการ แต่กระนั้นก็ไม่ถึงกับเด็ดขาด แต่ในแง่ของการทำหน้าที่โดยอิสระมีมากกว่าที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีต่อกัน แต่ก็ไม่เด็ดขาดอีกเช่นกัน อำนาจในการตรวจสอบและถ่วงดุลของฝ่ายตุลาการไม่มีต่อฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะศาลไม่มีอำนาจพิจารณาว่าพระราชบัญญัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ (judicial review) แต่สามารถตรวจสอบได้ว่าฝ่ายบริหารได้ใช้อำนาจเกินกว่าที่พระราชบัญญัติให้ไว้หรือไม่ ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารนั้นมีความซ้อนทับกันมากในด้านตัวบุคคล โดยรัฐมนตรีมาจากรัฐสภา ซึ่งส่วนหนึ่งคือ สภาสามัญชนที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และรัฐมนตรียังคงเป็นสมาชิกสภานี้ แม้ว่าจะได้รับแต่ตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้วก็ตาม การมีความซ้อนทับกันสะท้อนให้เห็นถึง การที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยของรัฐสภาเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งนั่นเอง แต่พึงสังเกตว่าแม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมากในสภาสามัญชนเพียงใดก็ตาม แต่ทว่า ก็ยังมีสภาขุนนางเป็นองค์กรคอยตรวจสอบและถ่วงดุลอยู่บ้างตามสมควร

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
--------------------------
บทนำ
เราประชาชนกัมพูชา
ตระหนักถึงอารยธรรมของความเจริญรุ่งเรือง ความเข้มแข็ง และความรุ่งโรจน์ของ
ชาติที่แผ่กว้างไกลดังแสงเพชร
ผ่านช่วงเวลาที่ต้องอดทนต่อความยากลำบากและการล่มสลายของประเทศ และมี
ประสบการณ์กับช่วงเวลาเสื่อมถอยของสังคมกว่าสองทศวรรษ
ถึงเวลาที่เราประชาชนกัมพูชา จะต้องตื่นและลุกขึนสู้อย่างแน่วแน่ เพื่อตัดสินใจ
หาทางออกต่อปัญหาร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเอกภาพของชาติ ร่วมรักษาและปกป้อง
ดินแดนและอำนาจอธิปไตยที่มีค่ายิ่งของชาติ ร่วมอนุรักษ์อารยธรรมอังกอร์อันยิ่งใหญ่ นำกัมพูชา
กลับไปสู่ความเป็นดินแดนแห่งสันติภาพ ภายใต้ระบบการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยแบบ
หลายพรรค ให้ความคุ้มครองต่อสิทธิมนุษยชนและเคารพต่อกฎหมาย และเพื่อนำไปสู่เป้ าหมายใน
การนำประเทศชาติไปสู่ความก้าวหน้า การพัฒนา ความเจริญรุ่งเรือง และความรุ่งโรจน์

หมวด ๑
อำนาจอธิปไตย
-----------------
มาตรา ๑               กัมพูชาเป็นราชอาณาจักรอันมีพระมหากษัตริย์ปกครองตามรัฐธรรมนูญ ตามหลักการ
ประชาธิปไตยเสรีนิยม และหลักการพหุนิยม
ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นประเทศเอกราช มีอธิปไตย สันติภาพ เป็นกลาง และไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
มาตรา ๒              ราชอาณาจักรกัมพูชามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและไม่สามารถละเมิดได้ ตาม
อาณาเขตที่อ้างอิงตามแผนที่ อัตราส่วน ๑ /๑๐๐, ๐๐๐ ที่จัดทำในปี ค..๑๙๓๓ - ๑๙๕๓ และได้รับ
การรับรองจากนานาชาติในปี ค..๑๙๖๓ - ๑๙๖๙
มาตรา ๓               ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นประเทศที่จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา ๔               คติประจำชาติของราชอาณาจักรกัมพูชา คือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
มาตรา ๕               ภาษาราชการ คือภาษาเขมร
มาตรา ๖                เมืองหลวงของราชอาณาจักรกัมพูชา คือ กรุงพนมเปญ
ธงชาติ เพลงชาติ และตราประจำประเทศ ได้กำหนดไว้ตามผนวกแนบท้ายที่ ๑ - ๒ และ ๓



หมวด ๒
พระมหากษัตริย์
-----------------
มาตรา ๗               พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ครองราชย์บัลลังก์ แต่ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจในการปกครองและ
จะไม่บริหารประเทศ
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงประมุขของประเทศตลอดพระชนม์ชีพ และผู้ใดจะละเมิดมิได้
มาตรา ๘               พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นปึกแผ่นอันเดียวกันของชาติ
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้รับรองความเป็นเอกราชและอธิปไตยของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดนของ
ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและเป็นผู้รับรอง
สนธิสัญญาระหว่างประเทศ
มาตรา ๙                พระมหากษัตริย์ทรงเป็นชี้ขาดเพื่อให้การปฏิบัติตามอำนาจของประชาชนเป็นไปอย่าง
ซื่อสัตย์
มาตรา ๑๐             ระบบกษัตริย์กัมพูชาให้เป็นการแต่งตั้ง
มาตรา ๑๑             ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙ ) ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถปฏิบัติ
หน้าที่ในฐานะประมุขของรัฐได้ด้วยเหตุทรงประชวรหนัก โดยการรับรองจากแพทย์ที่ได้รับการเลือก
มาจากประธานวุฒิสภา ประธานสภาแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ให้ประธานสภาแห่งชาติและ
ประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่แทนประมุขของประเทศในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐแทนพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้สำเร็จ
ราชการแทนพระองค์ซึ่งทรงประชวรหนัก ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ให้ประธานสภาแห่งชาติเป็น
ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
ในกรณีตามที่ระบุไว้ในวรรคก่อน ให้บุคคลผู้มีตำแหน่งระดับสูงตามสายการปกครองดังต่อไปนี้เป็นผู้
ปฏิบัติหน้าที่ประมุขของประเทศในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือ
- รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง
- รองประธานสภาแห่งชาติ คนที่หนึ่ง
- รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง
- รองประธานสภาแห่งชาติ คนที่สอง
มาตรา ๑๒            ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค..๑๙๙๙) ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จสวรรคต
ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่รักษาการประมุขของประเทศในฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
หากประธานวุฒิสภาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่รักษาการประมุขของประเทศในฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการ
แทนพระองค์ได้ ให้นำบทบัญญัติใหม่ในมาตรา ๑๑ วรรคสองและวรรคสาม มาบังคับใช้
มาตรา ๑๓             ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ให้สภาราชบัลลังก์เลือกพระมหากษัตริย์แห่ง
ราชอาณาจักรกัมพูชาพระองค์ใหม่ ภายในระยะเวลาเจ็ดวัน
สภาราชบัลลังก์ ประกอบด้วยบุคคล ดังต่อไปนี้
- ประธานวุฒิสภา
- ประธานสภาแห่งชาติ
- นายกรัฐมนตรี
- ประมุขสงฆ์จากฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุตินิกาย
- รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และคนที่สอง
- รองประธานสภาแห่งชาติ คนที่หนึ่ง และคนที่สอง
การจัดองค์กรและอำนาจหน้าที่ของสภาราชบัลลังก์ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๑๔             พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา จะต้องเป็นสมาชิกของราชวงศ์ มีอายุ
ไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี และเป็นผู้ที่สืบสายพระโลหิตของกษัตริย์ (สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี (นักองด้วง)
สมเด็จพระนโรดมสีหนุ หรือสมเด็จพระสีสวัตถิ์มุนีวงศ์) การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
พระมหากษัตริย์จะต้องทรงกล่าวปฏิญาณตน ตามที่กำหนดไว้ในผนวกแนบท้ายที่ ๔
มาตรา ๑๕            พระมเหสีของพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชสมบัติ จะทรงมีพระราชอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
มาตรา ๑๖              สมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ดำรง
ตำแหน่งเป็นประมุขของประเทศ หรือหัวหน้ารัฐบาล หรือดำรงตำแหน่งทางด้านบริหาร หรือทาง
การเมือง
สมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาจะทรงปฏิบัติภารกิจทางด้านสังคม มนุษยธรรม และ
ศาสนา รวมทั้ง ทรงช่วยพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจด้านพิธีการและความสัมพันธ์ทางการทูต
มาตรา ๑๗            การแก้ไขบทบัญญัติในมาตรา ๗ วรรคหนึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ครองบัลลังก์
แต่ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจในการปกครองจะทำการมิได้โดยเด็ดขาด
มาตรา ๑๘            ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) พระมหากษัตริย์ทรงติดต่อกับรัฐสภาโดยราชสาร
วุฒิสภาและสภาแห่งชาติจะนำราชสารนั้นมาอภิปรายใดๆ มิได้
มาตรา ๑๙             พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตามวิธีการที่กำหนดไว้ใน
มาตรา ๑๐๐
มาตรา ๒๐            พระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชานุญาติให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้า
รายงานสภาวการณ์ของประเทศ เดือนละสองครั้ง
มาตรา ๒๑            พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชกฤษฎีกา แต่งตั้ง โยกย้าย ข้าราชการฝ่ายพลเรือนและ
ฝ่ายทหารระดับสูง เอกอัครราชทูตหรือผู้แทนทางการทูต หรือทรงมีพระราชกฤษฎีกาให้พ้นจาก
ตำแหน่ง ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง โยกย้าย หรือถอดถอนผู้พิพากษาตามที่คณะกรรมการ
ตุลาการสูงสุดเสนอ
มาตรา ๒๒           ใหม่ (แก้ ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) เมื่อประเทศต้องเผชิญกับอันตราย
พระมหากษัตริย์จะทรงประกาศภาวะฉุกเฉินได้ภายหลังจากทีได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี
ประธานสภาแห่งชาติ และประธานวุฒิสภา
มาตรา ๒๓           พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพกัมพูชา ผู้บัญชาการสูงสุด
กองทัพกัมพูชาจะได้รับแต่งตั้งให้บัญชาการกองทัพ
มาตรา ๒๔           ใหม่        (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) พระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่ประธานสภา
ป้องกันประเทศสูงสุดตามที่กฎหมายบัญญัติ
พระมหากษัตริย์ทรงประกาศสงครามได้ภายหลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติและ
วุฒิสภา
มาตรา ๒๕ พระมหากษัตริย์ทรงรับอักษรสาสน์ตราตั้งจากเอกอัครราชทูตหรือผู้แทนทางการทูต
วิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม ประจำราชอาณาจักรกัมพูชา
มาตรา ๒๖            ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและให้
การรับรองสนธิสัญญาและข้อตกลงระหว่างประเทศได้โดยความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติและวุฒิสภา
มาตรา ๒๗ พระมหากษัตริย์ทรงมีสิทธิในการพระราชทานอภัยโทษบางส่วนหรือทั้งหมด
มาตรา ๒๘           ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยใน
กฎหมายประกาศใช้รัฐธรรมนูญ กฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติ กฎหมายที่ได้รับ
การพิจารณากลั่นกรองจากวุฒิสภา และพระราชกฤษฎีกาที่คณะรัฐมนตรีเสนอ
ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงประชวรหนักและต้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนอกราชอาณาจักร
พระมหากษัตริย์ทรงมีสิทธิมอบอำนาจให้ผู้รักษาการแทนประมุขของรัฐ ลงนามในกฎหมายและ
พระราชกฤษฎีกาแทน โดยทำเป็นหนังสือ
มาตรา ๒๙            พระมหากษัตริย์ทรงสร้างและพระราชทานเหรียญตราตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ
พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานตำแหน่งทางฝ่ายพลเรือนและฝ่ ายทหาร ตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๓๐             ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ ประธานวุฒิสภา
จะเป็นผู้รักษาการแทนประมุขของรัฐ ในกรณีที่ประธานวุฒิสภา ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้
รักษาการแทนประมุขของรัฐเนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ ให้ผู้รักษาการแทนประมุขของรัฐเป็นไป
ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๑ วรรคสอง และวรรคสาม





หมวด ๓
สิทธิและหน้าที่ของชนชาวกัมพูชา
-----------------
มาตรา ๓๑             ราชอาณาจักรกัมพูชาตระหนักและเคารพสิทธิมนุษยชน ตามที่กำหนดไว้ใน
กฎบัตรสหประชาชาติ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อตกลงและอนุสัญญาเกี่ยวกับกับสิทธิ
มนุษยชน สิทธิสตรี และสิทธิเด็ก
ประชาชนกัมพูชาย่อมเสมอภาคกันในกฎหมาย มีสิทธิ เสรีภาพ และภาระหน้าที่เท่าเทียมกัน โดย
ไม่แบ่งเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ความเชื่อทางศาสนา ความคิดทางการเมือง ถิ่นกำเนิด ฐานะทางสังคม
ทางทรัพย์สินหรือฐานะอื่น การใช้สิทธิและเสรีภาพของแต่ละบุคคลจะต้องไม่กระทบสิทธิและเสรีภาพ
ของบุคคลอื่น และต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๓๒           ประชาชนกัมพูชามีสิทธิในการดำรงชีวิต เสรีภาพส่วนบุคคล และความปลอดภัย
กัมพูชาไม่มีบทลงโทษประหารชีวิต
มาตรา ๓๓            ประชาชนกัมพูชาต้องไม่ถูกเพิกถอนสัญชาติ เนรเทศ กักขัง จับกุม และขับออกนอก
ประเทศ เว้นแต่ มีข้อตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ประชาชนกัมพูชาที่อาศัยอยู่นอกราชอาณาจักรย่อมได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
การให้สัญชาติกัมพูชาให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๓๔            ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ประชาชนกัมพูชาโดยไม่จำกัดเพศ มีสิทธิ
เท่าเทียมกันในการออกเสียงเลือกตั้งและเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ประชาชนกัมพูชาโดยไม่จำกัดเพศ อายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี มีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง
ประชาชนกัมพูชาโดยไม่จำกัดเพศ อายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี มีสิทธิสมัครรับการเลือกตั้ง
ประชาชนกัมพูชาโดยไม่จำกัดเพศ อายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปี มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
บทบัญญัติจำกัดสิทธิออกเสียงเลือกตั้งและสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๓๕            ประชาชนกัมพูชาโดยไม่จำกัดเพศ มีสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมือง เศรษฐกิจ
สังคม และวัฒนธรรมของชาติ
การแสดงความคิดเห็นของประชาชนต้องได้รับการพิจารณาจากรัฐอย่างเต็มที่
มาตรา ๓๖             ประชาชนกัมพูชาโดยไม่จำกัดเพศ มีสิทธิเลือกประกอบอาชีพตามความสามารถของ
ตนและตามความจำเป็นของสังคม
ประชาชนกัมพูชาโดยไม่จำกัดเพศต้องได้รับค่าจ้างที่เท่าเทียมกันในงานที่เท่ากัน
การทำงานบ้านมีค่าเช่นเดียวกับที่ได้รับเมื่อทำงานนอกบ้าน
ประชาชนกัมพูชาทุกคนมีสิทธิได้รับการประกันสังคมและสวัสดิการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
ประชาชนกัมพูชาทุกคนมีสิทธิจัดตั้งและเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
การจัดตั้งและการดำเนินการสหภาพแรงงานให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๓๗            สิทธิการนัดหยุดงานและการเดินขบวนประท้วงอย่างสงบให้กระทำภายใต้กรอบของ
กฎหมาย
มาตรา ๓๘            กฎหมายห้ามมิให้มีการทารุณกรรมบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
กฎหมายให้การคุ้มครองชีวิต เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของประชาชน
การดำเนินคดี การจับ หรือการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่ เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
การบังคับขู่เข็ญ การทรมาน หรือทารุณกรรมต่อผู้ถูกคุมขังหรือนักโทษจะกระทำมิได้ บุคคลที่กระทำ
มีส่วนร่วม หรือวางแผนกระทำการดังกล่าวจะถูกลงโทษตามกฎหมาย
การยอมรับสารภาพที่เกิดจากการบังคับทางร่างกายหรือจิตใจ จะนำมาเป็นหลักฐานความผิดมิได้
กรณีมีเหตุสงสัย ให้ถือเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย
ผู้ต้องหาหรือจำเลยให้ถือเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิด
ประชาชนกัมพูชาทุกคนมีสิทธิขอความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ
มาตรา ๓๙             ประชาชนกัมพูชามีสิทธิที่จะกล่าวโทษ ร้องทุกข์ หรือร้องรัฐและองค์กรทางสังคมหรือ
เจ้าหน้าที่ขององค์กรนั้นให้รับผิด เนื่องจากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย การยุติข้อร้องทุกข์
และข้อเรียกร้องให้เป็นอำนาจในการพิจารณาของศาล
มาตรา ๔๐             เสรีภาพของประชาชนในการเดินทางและการตั้งถิ่นฐานโดยชอบตามกฎหมายย่อม
ได้รับการเคารพ
ประชาชนกัมพูชาย่อมมีสิทธิในการเดินทาง การตั้งถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร และการเดินทางกลับ
ราชอาณาจักรได้
สิทธิส่วนบุคคลในเคหะสถานและสิทธิในการติดต่อสื่อสารทางจดหมาย โทรเลข โทรสาร เทเล็กซ์ และ
โทรศัพท์ ย่อมได้รับการคุ้มครอง
การตรวจค้นเคหสถาน ทรัพย์สิน และร่างกาย ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
มาตรา ๔๑             ประชาชนกัมพูชาย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพิมพ์ การโฆษณา
และการชุมนุม การใช้สิทธิที่เป็นการละเมิดสิทธิบุคคลอื่น หรือกระทบต่อประเพณีอันดีงามของสังคม
หรือละเมิดกฎหมาย ระเบียบ และความมั่นคงของชาติจะกระทำมิได้
การบริหารจัดการสื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๔๒           ประชาชนกัมพูชาย่อมมีสิทธิในการจัดตั้งสมาคมและพรรคการเมืองได้ตามที่
กฎหมายบัญญัติ
ประชาชนกัมพูชาย่อมมีสิทธิเข้าร่วมกับองค์กรภาคประชาชน เพื่อประโยชน์ร่วมกันในการพิทักษ์รักษา
ไว้ซึ่งสัมฤทธิ์ภาพ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม
มาตรา ๔๓ ประชาชนกัมพูชาไม่ว่าเพศใด ย่อมมีเสรีภาพตามความเชื่อของตน
เสรีภาพในการถือศาสนาและการปฏิบัติตามศาสนธรรม ย่อมได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ภายใต้เงื่อนไขว่า
เสรีภาพเช่นว่านั้นจะต้องไม่กระทบต่อความเชื่อทางศาสนาของบุคคลอื่น หรือขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยและความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน
ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
มาตรา ๔๔            บุคคลทุกคน ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์ประชาชนชาวกัมพูชาโดยเชื้อชาติและสัญชาติเท่านั้นที่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดิน
กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายของบุคคลย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
สิทธิการเวนคืนทรัพย์สินจากบุคคลใด ให้กระทำได้เฉพาะเพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่บัญญัติไว้ใน
กฎหมาย และต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมล่วงหน้าแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์
มาตรา ๔๕            การเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบต่อสตรีต้องถูกยกเลิก
การหาประโยชน์จากสตรีอย่างไม่เป็นธรรมจะกระทำมิได้
ชายและหญิงย่อมเสมอภาคกันในทุกด้าน โดยเฉพาะในเรื่องการสมรสและเรื่องในครอบครัว
การสมรสต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด บนพื้นฐานของหลักความยินยอมระหว่างสามี
และภรรยา
มาตรา ๔๖             การค้ามนุษย์ การใช้ให้เป็นโสเภณี หรือการกระทำลามกที่กระทบต่อชื่อเสียงของ
สตรี จะกระทำมิได้
สตรีไม่อาจถูกให้ออกจากงานเพราะการตั้งครรภ์ สตรีมีสิทธิลาคลอดโดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนและ
ไม่ต้องเสียความอาวุโสหรือสิทธิประโยชน์ทางสังคมอื่น
รัฐและสังคมต้องให้โอกาสกับสตรี โดยเฉพาะสตรีที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ทางสังคมอย่างเพียงพอ สตรีสามารถมีงานทำ ได้รับการรักษาพยาบาล บุตรได้เข้าโรงเรียน และมี
สภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสม
มาตรา ๔๗            บิดามารดามีหน้าที่ในการดูแลและให้การศึกษาแก่บุตรเพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดี
ของชาติ
บุตรมีหน้าที่ในการดูแลบิดามารดาที่อายุมากตามประเพณีของชาวกัมพูชา
มาตรา ๔๘            รัฐต้องคุ้มครองสิทธิเด็กตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยเฉพาะสิทธิ
ในการดำรงชีวิต การศึกษา การคุ้มครองในภาวะสงคราม และการคุ้มครองจากการแสวงหาประโยชน์
ทางเศรษฐกิจและทางเพศ
รัฐต้องให้คามคุ้มครองเด็กจากการกระทำที่เป็นอันตรายต่อโอกาสทางการศึกษา สุขภาพ และ
สวัสดิการของเด็ก
มาตรา ๔๙             ประชาชนกัมพูชาทุกคนต้องเคารพต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น
ประชาชนกัมพูชาทุกคนมีหน้าที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชาติและการปกป้องประเทศ
หน้าที่ป้องกันประเทศให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
มาตรา ๕๐            ประชาชนกัมพูชาไม่ว่าเพศใดต้องเคารพต่อหลักอธิปไตยของชาติและหลักเสรี
ประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมือง
ประชาชนกัมพูชาไม่ว่าเพศใดต้องเคารพต่อทรัพย์สินของรัฐและทรัพย์สินของเอกชนที่ได้มาโดยชอบ
ด้วยกฎหมาย
หมวด ๔
นโยบาย
-----------------
มาตรา ๕๑            ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ราชอาณาจักรกัมพูชามีนโยบายเสรีนิยม
ประชาธิปไตย และพหุนิยม
ประชาชนกัมพูชาถือเป็นเจ้าของของประเทศ
อำนาจทั้งปวงเป็นของประชาชน ประชาชนใช้อำนาจผ่านทางสภาแห่งชาติ วุฒิสภา รัฐบาล และศาล
อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ แยกออกจากกัน
มาตรา ๕๒           รัฐบาลกัมพูชาต้องพิทักษ์ไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนของ
ราชอาณาจักรกัมพูชา มีนโยบายการปรองดองแห่งชาติ เพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ และอนุรักษ์
ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาติ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาต้องคุ้มครองและรักษาไว้
ซึ่งกฎหมาย และดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน รัฐต้องให้
ความสำคัญกับความพยายามในการปรับปรุงสวัสดิการและมาตรฐานการครองชีพของประชาชนเป็น
ลำดับแรก
มาตรา ๕๓            ราชอาณาจักรกัมพูชายึดถือนโยบายเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างถาวร
ราชอาณาจักรกัมพูชาจะปฏิบัติตามนโยบายอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศเพื่อนบ้านและกับทุก
ประเทศทั่วโลก
ราชอาณาจักรกัมพูชาจะไม่รุกรานชาติใด และไม่แทรกแซงกิจการภายในของชาติอื่น ไม่ว่าโดยทางตรง
หรือทางอ้อม และจะแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกัน
ราชอาณาจักรกัมพูชาจะไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารหรือทำข้อตกลงสัญญาทางทหารใดๆ ซึ่งขัด
ต่อนโยบายเป็นกลาง
ราชอาณาจักรกัมพูชาจะไม่ยินยอมให้ต่างชาติเข้ามาจัดตั้งฐานทัพในดินแดนของกัมพูชา และจะไม่ไป
ตั้งฐานทัพของกัมพูชานอกราชอาณาจักร เว้นแต่ ภายใต้กรอบการร้องขอของสหประชาชาติ
ราชอาณาจักรกัมพูชามีสิทธิรับความช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์ทางทหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ ดินระเบิด
ในการฝึกกำลังทางทหาร และความช่วยเหลืออื่นจากต่างชาติ เพื่อการป้องกันตนเองและรักษาความ
สงบเรียบร้อยของประชาชนและความมั่นคงภายในของรัฐ
มาตรา ๕๔            การผลิต การใช้ และการเก็บรักษาอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมี หรืออาวุธชีวภาพ
จะกระทำมิได้โดยเด็ดขาด
มาตรา ๕๕           สนธิสัญญาหรือข้อตกลงใดที่ขัดต่อความเป็นเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่ง
ดินแดน ความเป็นกลาง และเอกภาพของราชอาณาจักรกัมพูชา ให้ถือเป็นโมฆะ
หมวด ๕
เศรษฐกิจ
-----------------
มาตรา ๕๖             ราชอาณาจักรกัมพูชาใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาด การเตรียมการและกระบวนการ
ของระบบเศรษฐกิจนี้ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๕๗           การจัดเก็บภาษีอากรให้เป็นไปตามกฎหมาย งบประมาณแผ่นดินให้เป็นไปตามที่
กฎหมายกำหนด
การบริหารระบบการเงินและการคลังให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๕๘           ทรัพย์สินของรัฐ ประกอบด้วย ที่ดิน ทรัพยากรแร่ธาตุ ภูเขา ทะเล สิ่งที่อยู่ใต้น้ำไหล่
ทวีป ชายฝั่ง น่านฟ้ า เกาะ แม่น้ำ คลอง ลำธาร ทะเลสาบ ป่าไม้ ทรัพยากรธรรมชาติ ศูนย์เศรษฐกิจและ
วัฒนธรรม ฐานทัพเพื่อการป้องกันประเทศ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นให้กำหนดเป็นทรัพย์สิน
ของรัฐ การควบคุม การใช้ และการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๕๙            รัฐต้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
และมีการวางแผนอย่างจริงจังเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน น้ำ อากาศ ลม ธรณีวิทยา ระบบนิเวศ แร่ธาตุ
พลังงาน ปิโตรเลียมและก๊าซ หินและทราย เพชร ป่าและผลิตภัณฑ์จากป่า สัตว์ป่า สัตว์น้าและ
ทรัพยากรทางทะเล
มาตรา ๖๐              ประชาชนกัมพูชามีสิทธิในการขายผลผลิตของตน การผูกมัดประชาชนให้ขายผลผลิต
กับรัฐหรือการใช้ทรัพย์สินส่วนบุคคลหรือทรัพย์สินของรัฐชั่วคราว จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจ
ตามกฎหมายภายใต้สถานการณ์พิเศษ
มาตรา ๖๑              รัฐพึงให้การสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนและพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะ
ด้านเกษตรกรรม หัตถกรรม อุตสาหกรรม ตลอดจนให้ความสำคัญกับนโยบายด้านการชลประทาน
ไฟฟ้ า ถนน รวมทั้ง การขนส่ง เทคโนโลยีทันสมัย และระบบสินเชื่อ
มาตรา ๖๒            รัฐพึงให้ความสำคัญและความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาผลผลิต การประกันราคา
ผลผลิตของชาวนา ช่างฝีมือ และจัดหาตลาดสำหรับการขายผลผลิตเหล่านั้น
มาตรา ๖๓             รัฐต้องให้ความสำคัญกับการจัดการการตลาด เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชีพ
ของประชาชนให้ดีขึ้น
มาตรา ๖๔             รัฐต้องสั่งห้ามและลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ที่นำเข้า ผลิต และจำหน่ายยาที่ผิดกฎหมาย
ปลอมแปลงและจำหน่ายสินค้าหมดอายุ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของผู้บริโภค



หมวด ๖
การศึกษา สังคม และวัฒนธรรม
-----------------
มาตรา ๖๕             รัฐต้องคุ้มครองและยกระดับสิทธิในการศึกษาของประชาชนให้มีคุณภาพในทุกระดับ
และจำเป็นต้องทำสิ่งที่สำคัญ เพื่อจัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง
รัฐให้ความสำคัญด้านการพละศึกษาและการกีฬาเพื่อสวัสดิภาพของประชาชนกัมพูชา
มาตรา ๖๖              รัฐต้องจัดระบบการศึกษาที่ครอบคลุมและมีมาตรฐานอย่างทั่วถึงตามหลักเสรีภาพ
และคุณภาพด้านการศึกษา เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการหาเลี้ยงชีพ
มาตรา ๖๗ รัฐต้องมีโครงการด้านการศึกษาตามหลักการสอนสมัยใหม่ รวมทั้ง ด้านเทคโนโลยี
และภาษาต่างประเทศ
รัฐต้องควบคุมคุณภาพโรงเรียนของรัฐและเอกชนและชั้นเรียนในทุกระดับ
มาตรา ๖๘             รัฐต้องจัดการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้กับประชาชนทุกคน
ในโรงเรียนของรัฐ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
ประชาชนต้องได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่าเก้าปี
รัฐต้องเผยแพร่และพัฒนาโรงเรียนสอนภาษาบาลีและสถาบันพระพุทธศาสนา
มาตรา ๖๙              รัฐต้องรักษาและส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติ
รัฐต้องคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ภาษาเขมร
รัฐต้องรักษาโบราณ  อนุสาวรีย์ และบูรณะซ่อมแซมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
มาตรา ๗๐            การกระทำผิดที่มีผลกระทบต่อมรดกทางศิลปวัฒนธรรมจะต้องได้รับการลงโทษ
อย่างรุนแรง
มาตรา ๗๑            บริเวณโดยรอบของสถานที่ที่เป็นมรดกของชาติ รวมทั้ง สถานที่ที่ได้รับการขึ้น
ทะเบียนเป็นมรดกโลก ให้ถือเป็นเขตพื้นที่ปลอดจากการปฏิบัติการทางทหาร
มาตรา ๗๒           สุขภาพของประชาชนต้องได้รับการคุ้มครอง รัฐต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค
และการรักษาพยาบาล ประชาชนที่ยากจนต้องมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลของรัฐ
สถานพยาบาล และสถานผดุงครรภ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
รัฐต้องจัดให้มีสถานพยาบาลและสถานผดุงครรภ์ในเขตพื้นที่ชนบท
มาตรา ๗๓            รัฐต้องให้ความสำคัญกับแม่และเด็ก รัฐต้องจัดให้มีสถานรับเลี้ยงเด็กและช่วยเหลือ
หญิงและเด็กที่ขาดแคลน
มาตรา ๗๔            รัฐต้องให้ความช่วยเหลือต่อผู้พิการและครอบครัวผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้อง
ประเทศชาติ
มาตรา ๗๕           รัฐต้องจัดให้มีระบบประกันสังคมให้กับแรงงานและลูกจ้าง
หมวด ๗
สภาแห่งชาติ
-----------------
มาตรา ๗๖             สภาแห่งชาติประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบคน
สมาชิกสภาแห่งชาติมาจากการเลือกตั้งโดยอิสระ ทั่วไป เสมอภาค และด้วยวิธีการลงคะแนนเสียง
โดยตรงและลับ
สมาชิกสภาแห่งชาติอาจได้รับการเลือกตั้งใหม่ได้
ประชาชนชาวกัมพูชาที่จะสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเป็นชาวกัมพูชาไม่ว่าเพศใด ที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี และมีสัญชาติกัมพูชาโดยการเกิด
การเตรียมการเลือกตั้ง วิธีการและกระบวนการเลือกตั้ง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง
มาตรา ๗๗           สมาชิกสภาแห่งชาติเป็นตัวแทนของประชาชนกัมพูชาทั้งประเทศ ไม่ใช่เป็นตัวแทน
เฉพาะประชาชนในเขตเลือกตั้งเท่านั้น
อาณัติใดที่เกิดจากการบังคับ ให้ถือเป็นโมฆะ
มาตรา ๗๘           อายุของสภาแห่งชาติมีกำหนดคราวละห้าปี และสิ้นสุดวาระในวันที่มีการประชุมสภา
แห่งชาติชุดใหม่
ก่อนครบกำหนดวาระ ห้ามมิให้มีการยุบสภาแห่งชาติ เว้นแต่รัฐบาลจะถูกถอดถอนสองครั้งภายใน
ระยะเวลาสิบสองเดือน ในกรณีนี้ตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี และโดยความเห็นชอบของประธาน
สภาแห่งชาติ พระมหากษัตริย์จะทรงยุบสภาได้
การเลือกตั้งสภาแห่งชาติชุดใหม่ต้องดำเนินการภายใน ๖๐ วันนับแต่วันยุบสภา ในระหว่างยุบสภา
ให้รัฐบาลมีอำนาจหน้าที่เฉพาะที่เป็นการปฏิบัติงานประจำเท่านั้น
ในภาวะสงครามหรือสถานการณ์พิเศษอื่นใด ซึ่งทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติไม่สามารถ
ดำเนินการได้ สภาแห่งชาติอาจขยายวาระของสภาออกไปได้ครั้งละหนึ่งปี ทั้งนี้ โดยคำขอของ
พระมหากษัตริย์
การขยายวาระดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกสภา
แห่งชาติทั้งหมด
มาตรา ๗๙            อาณัติของสภาแห่งชาติ ต้องไม่ขัดกับการคงไว้ซึ่งบทบาทหน้าที่สาธารณะหรือ
หลักการห้ามเป็นสมาชิกในสถาบันอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เว้นแต่ สมาชิกสภาแห่งชาติจะ
ได้ไปดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาล
ในกรณีดังกล่าว สมาชิกสภาแห่งชาติผู้นั้น จะยังคงดำรงสมาชิกภาพสมาชิกสภาแห่งชาติ แต่ไม่สามารถ
ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการถาวรและคณะกรรมาธิการอื่นของสภาแห่งชาติได้
มาตรา ๘๐            สมาชิกสภาแห่งชาติย่อมได้รับความคุ้มกันทางรัฐสภา
สมาชิกสภาแห่งชาติจะถูกฟ้องร้อง คุมขัง หรือจับกุม เพราะเหตุแห่งการแสดงความคิดเห็นในระหว่าง
ปฏิบัติหน้าที่มิได้
การดำเนินคดี จับกุม หรือคุมขังสมาชิกสภาแห่งชาติในระหว่างสมัยประชุม จะกระทำได้แต่โดยความ
ยินยอมของสภาแห่งชาติ หรือของคณะกรรมาธิการถาวรของสภาแห่งชาติเท่านั้น เว้นแต่ ในกรณีที่
เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า ในกรณีนี้ ให้ผู้มีอำนาจรายงานต่อสภาแห่งชาติหรือคณะกรรมาธิการ
ถาวรเพื่อพิจารณาโดยทันที
การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการถาวรของสภาแห่งชาติให้เสนอต่อสภาแห่งชาติเพื่อพิจารณา
ในสมัยประชุมคราวถัดไป มติเห็นชอบต้องมีคะแนนเสียงข้างมากสองในสามของจำนวนสมาชิกสภา
แห่งชาติทั้งหมด
การคุมขังหรือดำเนินคดีกับสมาชิกสภาแห่งชาติจะถูกระงับ โดยมติเสียงข้างมากสามในสี่ของจำนวน
สมาชิกสภาแห่งชาติทั้งหมด
มาตรา ๘๑            สภาแห่งชาติมีงบประมาณอิสระ เพื่อการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ของสภา
สมาชิกสภาแห่งชาติพึงได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่
มาตรา ๘๒           สภาแห่งชาติต้องมีการเปิดประชุมสภาแห่งชาติครั้งแรกภายในหกสิบวันหลังจากการ
เลือกตั้ง ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงแจ้ง
ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ สภาแห่งชาติจะพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของสมาชิกภาพของสมาชิก
แต่ละคน และลงมติเลือกประธานสภาแห่งชาติหนึ่งคน รองประธานสภาแห่งชาติ และสมาชิก
คณะกรรมาธิการแต่ละคณะ โดยคะแนนเสียงข้างมากสองในสาม
สมาชิกสภาแห่งชาติทุกคนต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่งด้วยถ้อยคำที่กำหนดไว้ในผนวกแนบ
ท้ายที่ ๕
มาตรา ๘๓            สภาแห่งชาติจะมีการประชุมสมัยสามัญปีละสองสมัย
ในแต่ละสมัยประชุม ให้มีกำหนดระยะเวลาอย่างน้อยสามเดือน ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรี
หรือสมาชิกสภาแห่งชาติจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกสภาแห่งชาติทั􀃊งหมด ร้อง
ขอให้เปิดการประชุมสมัยวิสามัญ ให้คณะกรรมาธิการถาวรของสภาแห่งชาติเรียกประชุมสมัยวิสามัญ
ของสภาแห่งชาติได้
ระเบียบวาระการประชุมของการประชุมสมัยประชุมวิสามัญ จะต้องเผยแพร่ต่อประชาชน พร้อมกับ
กำหนดวันเวลาการประชุม
มาตรา ๘๔            ในระหว่างปิดสมัยประชุมของสภาแห่งชาติ ให้คณะกรรมาธิการถาวรของสภา
แห่งชาติจัดการงานของสภาแห่งชาติ
คณะกรรมาธิการถาวรของสภาแห่งชาติ ประกอบด้วย ประธานสภาแห่งชาติ รองประธานสภาแห่งชาติ
และประธานคณะกรรมาธิการของสภาแห่งชาติ
มาตรา ๘๕           การประชุมของสภาแห่งชาติจะจัดขึ้น ณ Royal Capital of Cambodia ในหอประชุม
รัฐสภาแห่งกัมพูชา (Assembly Hall) เว้นแต่ ได้มีการกำหนดให้เรียกประชุมในสถานที่อื่นเนื่องจากมี
สถานการณ์พิเศษ
การจัดประชุมสภาแห่งชาตินอกจากสถานที่ที่กำหนดไว้ข้างต้น และในสถานที่และวันที่กำหนด ให้ถือ
เป็นการจัดประชุมที่ผิดกฎหมายและเป็นโมฆะ
มาตรา ๘๖             ในกรณีที่ประเทศอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน สภาแห่งชาติจะมีการประชุมติดต่อกัน
ทุกวัน สภาแห่งชาติมีสิทธิประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศได้เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะ
ปกติ
ในกรณีที่สภาแห่งชาติไม่สามารถมีการประชุมได้เนื่องจากเกิดสถานการณ์ อาทิ การถูกยึดครองโดย
กองกำลังต่างชาติ ให้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศขยายระยะเวลาออกไปโดยอัตโนมัติ
ในระหว่างที่ประเทศอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามมิให้มีการยุบสภาแห่งชาติ
มาตรา ๘๗           ประธานสภาแห่งชาติจะทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมสภาแห่งชาติ รับร่างกฎหมาย
และมติที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติ ดูแลให้มีการปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุม และ
ดำเนินการด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
ในกรณีที่ประธานสภาแห่งชาติไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากป่วย หรืออยู่ในระหว่างปฏิบัติ
หน้าที่ประมุขของรัฐชั่วคราวหรือเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือมีภารกิจนอกราชอาณาจักร
ให้รองประธานสภาแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสภาแห่งชาติ
ในกรณีที่ประธานหรือรองประธานสภาแห่งชาติลาออกหรือตาย สภาแห่งชาติต้องจัดให้มีการเลือก
ประธานสภาแห่งชาติหรือรองประธานสภาแห่งชาติใหม่
มาตรา ๘๘           การประชุมของสภาแห่งชาติต้องประชุมโดยเปิดเผย
ในระหว่างปิดสมัยประชุม สภาแห่งชาติจะมีการประชุมได้ หากได้รับการร้องขอจากประธานสภา
แห่งชาติ หรือสมาชิกสภาแห่งชาติจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกสภาแห่งชาติ
ทั้งหมด จากพระมหากษัตริย์ หรือจากนายกรัฐมนตรี
การประชุมสภาแห่งชาติต้องมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดในสิบของจำนวนสมาชิกสภา
แห่งชาติทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม
มาตรา ๘๙            สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิกสภาแห่งชาติทั้งหมด สามารถเสนอ
ให้สภาแห่งชาติเชิญเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาชี้แจงประเด็นปัญหาที่สำคัญต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติได้
มาตรา ๙๐             ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) สภาแห่งชาติเป็นองค์กรที่มีอำนาจนิติบัญญัติ
และปฏิบัติหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อำนาจดังกล่าวนี้ไม่สามารถโอนให้กับ
องค์กรหรือบุคคลอื่นใดได้
สภาแห่งชาติต้องให้ความเห็นชอบงบประมาณแผ่นดิน โครงการของรัฐ การกู้เงิน สัญญาทางการเงิน
และการกำหนด การเปลี่ยนแปลง หรือการยกเลิกภาษีอากร
สภาแห่งชาติต้องให้ความเห็นชอบพิจารณาและตรวจสอบบัญชีภาครัฐ
สภาแห่งชาติต้องให้ความเห็นชอบกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมทั่วไป
สภาแห่งชาติต้องให้ความเห็นชอบหรือยกเลิกสนธิสัญญาและอนุสัญญาระหว่างประเทศ
สภาแห่งชาติต้องให้ความเห็นชอบกฎหมายว่าด้วยการประกาศสงคราม
มติให้ความเห็นชอบในเรื่องดังกล่าวให้ใช้เสียงข้างมากโดยเด็ดขาดของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของ
สมาชิกสภาแห่งชาติ
สมาชิกสภาแห่งชาติต้องมีมติไว้วางใจรัฐบาลจำนวนสองในสามของสมาชิกสภาแห่งชาติทั้งหมด
มาตรา ๙๑             ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาแห่งชาติ และ
นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีสิทธิในการเสนอกฎหมาย
สมาชิกสภาแห่งชาติมีสิทธิในการเสนอแก้ไขกฎหมายได้ แต่การเสนอนั้นต้องไม่มีเป้าหมายเพื่อลด
รายได้สาธารณะหรือเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน
มาตรา ๙๒            กฎหมายใดที่สภาแห่งชาติให้ความเห็นชอบแล้ว หากขัดกับหลักการรักษาไว้ซึ่งความ
เป็นเอกราชและอธิปไตยของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน และกระทบต่อเอกภาพทางการเมืองหรือ
การบริหารของชาติ ให้ถือเป็นโมฆะ ทั้งนี้ คณะกรรมการรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจ
พิจารณาวินิจฉัยว่าด้วยการเป็นโมฆะนั้น
มาตรา ๙๓             ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) กฎหมายที่สภาแห่งชาติและวุฒิสภาให้ความ
เห็นชอบ และพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเพื่อประกาศใช้บังคับแล้ว ให้มีผลใช้บังคับ
ในกรุงพนมเปญภายในสิบวัน และมีผลใช้บังคับทั่วราชอาณาจักรภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่ลง
พระปรมาภิไธย
กฎหมายที่เร่งด่วนให้มีผลใช้บังคับทั่วราชอาณาจักรทันทีภายหลังการประกาศใช้บังคับ
กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว ให้ลงพิมพ์ในราชกิจจาอุเบกขาและ
ประกาศให้ประชาชนทั่วราชอาณาจักรทราบ
มาตรา ๙๔             สภาแห่งชาติต้องจัดตั้งคณะกรรมาธิการต่างๆ ที่จำเป็น การจัดองค์กรและอำนาจ
หน้าที่ของสภาแห่งชาติให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสภาแห่งชาติ
มาตรา ๙๕            ในกรณีที่สมาชิกสภาแห่งชาติตาย ลาออก หรือถูกถอดถอน และวาระของสมาชิกสภา
แห่งชาตินั้นยังเหลืออยู่อย่างน้อยหกเดือน ให้มีการแต่งตั้งสมาชิกใหม่ขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามข้อบังคับของสภาแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง
มาตรา ๙๖ สมาชิกสภาแห่งชาติมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐบาล การตั้งกระทู้ถามให้เสนอเป็นหนังสือ
ยื่นต่อประธานสภาแห่งชาติ
การตอบกระทู้ถามให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องนั้นเป็นผู้ตอบ หากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
ทั้งหมดของรัฐบาล ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบกระทู้ถามนั้นด้วยตัวเอง
การชี้แจงของรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีให้ทำด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษร
การชี้แจงต้องกระทำภายในเจ็ดวันนับจากวันที่ได้รับกระทู้ถาม
กรณีการตอบกระทู้ถามด้วยวาจา ให้ประธานสภาแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาว่าจะให้มีการอภิปรายซักถาม
หรือไม่ ในกรณีที่ไม่มีการอภิปราย คำตอบของรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีจะได้รับการพิจารณาให้ถือ
เป็นที่สุด หากเป็นกรณีที่มีการอภิปราย ผู้ยื่นกระทู้ ผู้อภิปรายอื่น รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี อาจมี
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ภายในกรอบเวลาที่ไม่เกินหนึ่งการประชุมครั้งนั้น
สภาแห่งชาติจะจัดให้มีการถามและการตอบกระทู้ถามทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละหนึ่งวัน และจะไม่มีการ
ลงมติไม่ว่าในวาระกระทู้ถาม
มาตรา ๙๗            คณะกรรมาธิการของสภาแห่งชาติอาจเชิญรัฐมนตรีมาชี้แจงในประเด็นที่รัฐมนตรี
ผู้นั้นมีหน้าที่รับผิดชอบได้
มาตรา ๙๘            สภาแห่งชาติสามารถถอดถอนสมาชิกสภาแห่งชาติ รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี ออก
จากตำแหน่งได้ โดยการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ และมติไม่ไว้วางใจมีคะแนนเสียงมากกว่าสองในสาม
สมาชิกสภาแห่งชาติจำนวนไม่น้อยกว่าสามสิบคน มีสิทธิเสนอญัตติไม่ไว้วางในรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
ต่อสภาแห่งชาติ
หมวด ๘
วุฒิสภา
-----------------
มาตรา ๙๙             ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) วุฒิสภาเป็นองค์กรที่มีอำนาจนิติบัญญัติและ
ปฏิบัติหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมีจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาแห่งชาติทั้งหมด
สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง และการเลือกตั้งทั่วไป
สมาชิกวุฒิสภาสามารถได้รับการแต่งตั้งและเลือกตั้งใหม่ได้
มาตรา ๑๐๐           ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) พระมหากษัตริย์ทรงเสนอชื่อสมาชิกวุฒิสภา
จำนวนสองคน
สภาแห่งชาติเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวนสองคน โดยมติเสียงข้างมาก
สมาชิกวุฒิสภาอื่นมาจากการเลือกตั้งทั่วไป
มาตรา ๑๐๑           ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) การจัดองค์กรและวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับการ
เสนอชื่อและการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา การกำหนดผู้เลือกตั้ง การจัดการเลือกตั้ง และเขตเลือกตั้ง
ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๑๐๒         ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) สมาชิกวุฒิสภามีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ
หกปี และสิ้นสุดวาระเมื่อสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แทน
ในกรณีที่การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่สามารถมีขึ้นได้เนื่องจากเกิดสงครามหรือมีสถานการณ์พิเศษ
วุฒิสภาสามารถขยายวาระของวุฒิสภาออกไปได้ครั้งละหนึ่งปี ทั้งนี้ โดยคำขอของพระมหากษัตริย์
การขยายวาระดังกล่าว ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกวุฒิสภา
ทั้งหมด
ในสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ให้วุฒิสภามีการประชุมทุกวัน วุฒิสภามีสิทธิยกเลิกสถานการณ์ดังกล่าว
หากมีเหตุผลสมควร
ในกรณีที่วุฒิสภาไม่สามารถดำเนินการประชุมได้เนื่องจากถูกยึดครองโดยกองกำลังต่างชาติ ให้การ
ประกาศภาวะฉุกเฉินมีผลต่อไปโดยอัตโนมัติ
มาตรา ๑๐๗          ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) วุฒิสภาจะมีการประชุมสมัยสามัญของวุฒิสภาปี
ละสองสมัย ในแต่ละสมัยประชุมให้มีกำหนดระยะเวลาอย่างน้อยสามเดือน
ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรี หรือสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของสมาชิก
วุฒิสภาทั้งหมด ร้องขอให้เปิดประชุมสมัยวิสามัญ ให้คณะกรรมาธิการถาวรของวุฒิสภาเรียกประชุม
สมัยวิสามัญของวุฒิสภาได้
มาตรา ๑๐๘          ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ในระหว่างปิดสมัยการประชุมของวุฒิสภา
ให้คณะกรรมาธิการถาวรของวุฒิสภาจัดการงานของวุฒิสภา
คณะกรรมาธิการถาวรของวุฒิสภา ประกอบด้วย ประธานวุฒิสภา รองประธานวุฒิสภา และประธาน
คณะกรรมาธิการของวุฒิสภา
มาตรา ๑๐๙           ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) การประชุมของวุฒิสภาจะจัดขึ้น ณ Royal
Capital of Cambodia ในหอประชุมวุฒิสภาแห่งกัมพูชา (Senate Hall) เว้นแต่ มีการกำหนดให้
เรียกประชุมในสถานที่อื่นเนื่องจากมีสถานการณ์พิเศษ
การจัดประชุมวุฒิสภาสภานอกจากสถานที่ที่กำหนดไว้ข้างต้นและในสถานที่และวันที่กำหนด ให้ถือ
เป็นการจัดประชุมที่ผิดกฎหมายและเป็นโมฆะ
มาตรา ๑๑๐           ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ประธานวุฒิสภาจะทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
วุฒิสภา รับร่างกฎหมายและมติที่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา ดูแลให้มีการปฏิบัติตามข้อบังคับ
การประชุม และดำเนินการด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากป่วย หรือต้องทำหน้าที่ประมุขของรัฐ
ชั่วคราว หรือเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือมีภารกิจนอกราชอาณาจักร ให้รองประธาน
วุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา
ในกรณีที่ประธานหรือรองประธานวุฒิสภาลาออกหรือตาย วุฒิสภาต้องจัดให้มีการเลือกประธานสภา
และรองประธานวุฒิสภาใหม่
มาตรา ๑๑๑           ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) การประชุมของวุฒิสภาต้องประชุมโดยเปิดเผย
ระหว่างปิดสมัยประชุม วุฒิสภาจะมีการประชุมได้ หากได้รับการร้องขอจากประธานวุฒิสภา หรือ
สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด จากพระมหากษัตริย์
หรือจากนายกรัฐมนตรี- ๔๐
การประชุมวุฒิสภาต้องมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดในสิบของจำนวนสมาชิกวุฒิสภา
ทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม
จำนวนคะแนนเสียงในการลงมติของสภาแห่งชาติตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้นำมาใช้กับการลง
มติของวุฒิสภาด้วย
มาตรา ๑๑๒         ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) วุฒิสภามีหน้าที่ประสานงานระหว่างสภาแห่งชาติ
และรัฐบาล
มาตรา ๑๑๓          ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) วุฒิสภาต้องพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะร่าง
กฎหมาย หรือกฎหมายที่สภาแห่งชาติได้ลงมติเห็นชอบ และเรื่องอื่นๆ ที่สภาแห่งชาติเสนอภายใน
ระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน หากมีกรณีฉุกเฉิน ให้ลดระยะเวลาลงเหลือเจ็ดวัน
ในกรณีที่วุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบ หรือไม่ให้ความเห็นชอบแต่ไม่อยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้
ประกาศใช้กฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติแล้วนั้น
ในกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขร่างกฎหมายและกฎหมายที่สภาแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้สภา
แห่งชาติยกร่างกฎหมายและกฎหมายนั้นขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที สภาแห่งชาติจะพิจารณาและวินิจฉัย
ว่าจะตัดบทบัญญัตินั้นออกทั้งหมดหรือแต่โดยบางส่วนหรือไม่ หรือเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขที่
วุฒิสภาเสนอ
การแก้ไขร่างกฎหมายหรือกฎหมายระหว่างวุฒิสภาและสภาแห่งชาติให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
ระยะเวลาหนึ่งเดือน หากเป็นร่างกฎหมายงบประมาณแผ่นดินหรือเกี่ยวกับการเงิน ให้ลดระยะเวลา
ลงเหลือสิบวัน หากเป็นกรณีเร่งด่วนให้ลดระยะเวลาลงเหลือสองวัน
ในกรณีที่สภาแห่งชาติได้ยับยังร่างกฎหมายไว้เป็นระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนดหรือพิจารณา
ร่างกฎหมายล่าช้า ให้ขยายระยะเวลาในการดำเนินการแก้ไขร่างกฎหมายออกไป เพื่อให้ทั้งสองสภา
มีระยะเวลาในการพิจารณาร่างกฎหมายเท่ากัน
ในกรณีที่วุฒิสภามีมติไม่รับร่างกฎหมายหรือกฎหมายที่เสนอโดยสภาแห่งชาติ สภาแห่งชาติจะยกร่าง
กฎหมายหรือกฎหมายที่เสนอนั้นขึ้นพิจารณาใหม่ก่อนครบระยะเวลาหนึ่งเดือนมิได้ ในกรณีที่เป็น
กฎหมายงบประมาณแผ่นดินหรือเกี่ยวกับการเงิน ให้ลดระยะเวลาลงเหลือสิบห้าวัน และหากเป็นกรณี
เร่งด่วน ให้ลดระยะเวลาลงเหลือสี่วัน
ในการพิจารณาร่างกฎหมายหรือกฎหมายที่เสนอใหม่ ให้สภาแห่งชาติมีมติเห็นชอบด้วยการ
ลงคะแนน โดยเปิดเผยด้วยคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด
ร่างกฎหมายหรือกฎหมายที่เสนอโดยสภาแห่งชาติที่มีมติเห็นชอบด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้น ให้
ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้
มาตรา ๑๑๔          ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) วุฒิสภาต้องจัดตั้งคณะกรรมาธิการตามความ
จำเป็น การจัดองค์กรและอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของวุฒิสภา
ข้อบังคับของวุฒิสภาต้องมีมติเห็นชอบด้วยด้วยคะแนนเสียงข้างมากสองในสามของจำนวนสมาชิก
วุฒิสภาทั้งหมด
มาตรา ๑๑๕          ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ในกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาตาย ลาออก หรือถูก
ถอดถอน และวาระของสมาชิกวุฒิสภานั้นยังเหลืออยู่อย่างน้อยหกเดือน ให้มีการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง
สมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของวุฒิสภาและกฎหมายว่าด้วยการ
เลือกตั้งและการเสนอชื่อของสมาชิกวุฒิสภา
หมวด ๙
สภาแห่งชาติและวุฒิสภา
-----------------
มาตรา ๑๑๖           ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ในกรณีพิเศษสภาแห่งชาติและวุฒิสภาสามารถ
ประชุมร่วมกันในฐานะรัฐสภา(Congress) เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ
มาตรา ๑๑๗          ใหม่ (แก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) ปัญหาสำคัญของชาติตามที่กล่าวถึงในมาตรา
๑๑๖ และการจัดองค์กรและบทบาทหน้าที่ของรัฐสภา ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด






หมวด ๑๐
รัฐบาล
-----------------
มาตรา ๑๑๘          ใหม่ (มาตรา ๙๙ เดิม) คณะรัฐมนตรี คือ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี โดยมี รองนายกรัฐมนตรี เป็น
ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี มนตรีแห่งรัฐ รัฐมนตรี และเลขาธิการแห่งรัฐ เป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๑๑๙           ใหม่ (มาตรา ๑๐๐ เดิม) พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งบุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดจาก
ผู้แทนของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งให้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ตามคำแนะนำของประธานสภา
แห่งชาติและด้วยความเห็นชอบของรองประธานสภาแห่งชาติ การแต่งตั้งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอื่นให้
เลือกจากพรรคการเมืองหรือผู้แทนในสภาแห่งชาติ จากนั้นให้เสนอรายชื่อต่อสภาแห่งชาติเพื่อให้สภา
แห่งชาติลงมติไว้วางใจก่อนเข้ารับตำแหน่ง
เมื่อสภาแห่งชาติลงมติไว้วางใจแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี
ก่อนเข้ารับหน้าที่คณะรัฐมนตรีจะต้องปฏิญาณตนตามถ้อยคำที่กำหนดไว้ในผนวกแนบท้ายที่ ๖
มาตรา ๑๒๐         ใหม่ (มาตรา ๑๐๑ เดิม) รัฐมนตรีจะต้องไม่กระทำกิจกรรมเกี่ยวกับการค้าหรือการ
อุตสาหกรรม และไม่ดำรงตำแหน่งใดๆ ในราชการ
มาตรา ๑๒๑         ใหม่ (มาตรา ๑๐๒ เดิม) รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในนโยบายของรัฐบาลต่อสภา
แห่งชาติ
รัฐมนตรีแต่ละคนจะรับผิดชอบต่อนายกรัฐมนตรีและสภาแห่งชาติในหน้าที่ความรับผิดชอบของตน
มาตรา ๑๒๒        ใหม่ (มาตรา ๑๐๓ เดิม) รัฐมนตรีต้องไม่อ้างคำสั่ง ด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร
ของบุคคลใดเพื่อเป็นเหตุให้ตนพ้นจากความรับผิดชอบได้
มาตรา ๑๒๓         ใหม่ (มาตรา ๑๐๔ เดิม) คณะรัฐมนตรีจะมีการประชุมเต็มคณะหรือการประชุม
ปฏิบัติงานทุกสัปดาห์
นายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมเต็มคณะ
นายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมปฏิบัติงานได้
ให้เสนอรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีกราบทูลเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงทราบ
มาตรา ๑๒๔         ใหม่ (มาตรา ๑๐๕ เดิม) นายกรัฐมนตรีมีสิทธิมอบอำนาจให้แก่รองนายกรัฐมนตรี
หรือรัฐมนตรีอื่นได้
มาตรา ๑๒๕        ใหม่ (มาตรา ๑๐๖ เดิม) ในกรณีที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลงอย่างถาวร ให้มีการ
แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ตามวิธีการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หากเป็นการว่างลงชั่วคราว ให้แต่งตั􀃊
ผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี
มาตรา ๑๒๖ ใหม่ (มาตรา ๑๐๗ เดิม) รัฐมนตรีจะต้องได้รับโทษในการกระทำความผิดอาญา
หรือความผิดลหุโทษในขณะปฏิบัติหน้าที่
ในกรณีดังกล่าวและเมื่อรัฐมนตรีได้กระทำความผิดร้ายแรงในขณะปฏิบัติหน้าที่ สภาแห่งชาติจะต้อง
พิจารณาวินิจฉัยการยื่นฟ้องรัฐมนตรีผู้นั้นต่อศาล
ให้สภาแห่งชาติพิจารณาวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว โดยการออกเสียงลงคะแนนลับและถือมติเสียงข้างมาก
มาตรา ๑๒๗        ใหม่ (มาตรา ๑๐๘ เดิม) การจัดองค์กรและบทบาทหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีให้
เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
หมวด ๑๑
ศาล
-----------------
มาตรา ๑๒๘        ใหม่ (มาตรา ๑๐๙ เดิม) อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ
การพิจารณาคดีเป็นอำนาจของศาล ศาลต้องดำเนินการด้วยความยุติธรรม และปกป้องสิทธิและ
เสรีภาพของประชาชน
การพิจารณาคดีให้ครอบคลุมทั้งในศาล คดีความ และการบริหารจัดการ
อำนาจตุลาการมอบให้กับศาลสูงสุดและศาลในระดับถัดไปในทุกภาคส่วนและทุกระดับ
มาตรา ๑๒๙         ใหม่ (มาตรา ๑๑๐ เดิม) การพิจารณาคดีให้กระทำในนามของประชาชนกัมพูชา
ตามกระบวนการทางกฎหมายและกฎหมายที่ใช้บังคับ
ให้ผู้พิพากษาเป็นผู้ที่มีอำนาจในการพิจารณาตัดสินคดีความ ผู้พิพากษาต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
อย่างเคร่งครัด ตั้งใจ และมีสติ
มาตรา ๑๓๐          ใหม่ (มาตรา ๑๑๑ เดิม) อำนาจศาลต้องไม่มอบให้กับฝ่ายนิติบัญญัติและ
ฝ่ายบริหาร
มาตรา ๑๓๑          ใหม่ (มาตรา ๑๑๒ เดิม) ให้กรมอัยการมีสิทธิในการยื่นฟ้องคดีอาญา
มาตรา ๑๓๒         ใหม่ (มาตรา ๑๑๓ เดิม) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นหลักประกันในความเป็นอิสระ
ของศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการสูงสุดเป็นผู้สนับสนุนพระมหากษัตริย์ในเรื่องดังกล่าว
มาตรา ๑๓๓         ใหม่ (มาตรา ๑๑๔ เดิม) ผู้พิพากษาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งมิได้ ทั􀃊งนี􀃊
คณะกรรมการตุลาการสูงสุดจะดำเนินการทางวินัยกับผู้พิพากษาที่บกพร่องต่อหน้าที่
มาตรา ๑๓๔         ใหม่ (มาตรา ๑๑๕ เดิม) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานคณะกรรมการตุลาการ
สูงสุด พระมหากษัตริย์อาจแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการตุลาการ
สูงสุดแทนได้
คณะกรรมการตุลาการสูงสุดจะถวายคำแนะนำแก่พระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาและอัยการ
ประจำทุกศาล
คณะกรรมการตุลาการสูงสุดประชุมร่วมกับประธานศาลสูงสุดหรืออัยการศาลสูงสุดเพื่อพิจารณา
ระเบียบวิธีปฏิบัติของผู้พิพากษาและอัยการ
มาตรา ๑๓๕         ใหม่ (มาตรา ๑๑๖ เดิม) ข้อบังคับของผู้พิพากษาและอัยการและบทบาทหน้าที่ของ
ศาล ให้กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะ
หมวด ๑๒
คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ
-----------------
มาตรา ๑๓๖          ใหม่ (มาตรา ๑๑๗ เดิม และแก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) คณะกรรมการ
รัฐธรรมนูญมีหน้าที่ให้การคุ้มครองเกี่ยวกับการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และตีความรัฐธรรมนูญและ
กฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติและวุฒิสภาได้พิจารณาทบทวนอย่างสมบูรณ์แล้ว
คณะกรรมการรัฐธรรมนูญมีสิทธิในการรับและพิจารณาวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิก
สภาแห่งชาติและการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
มาตรา ๑๓๗         ใหม่ (มาตรา ๑๑๘ เดิม) คณะกรรมการรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกจำนวน
เก้าคน มีวาระการดำรงตำแหน่งเก้าปี กรรมการจำนวนหนึ่งในสามจะต้องพ้นจากตำแหน่งและได้รับ
การสรรหาใหม่ทุกสามปี โดยกรรมการสามคนได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ กรรมการสาม
คนได้รับการแต่งตั้งจากสภาแห่งชาติ และกรรมการอีกสามคนได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการ
ตุลาการสูงสุด
ประธานคณะกรรมการรัฐธรรมนูญได้รับเลือกตั้งจากคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่มีคะแนน
เสียงเท่ากัน ให้ประธานคณะกรรมการรัฐธรรมนูญเป็นผู้ลงคะแนนเสียงชี้ขาด
มาตรา ๑๓๘         ใหม่ (มาตรา ๑๑๙ เดิม) กรรมการรัฐธรรมนูญจะคัดเลือกมาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่
สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาทางด้านกฎหมาย ด้านการบริหาร ด้านการการทูต หรือด้านเศรษฐศาสตร์
และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงาน
มาตรา ๑๓๙          ใหม่ (มาตรา ๑๒๐ เดิม และแก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) คณะกรรมการ
รัฐธรรมนูญต้องไม่ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี ผู้พิพากษา ผู้
ดำรงตำแหน่งในองค์กรของรัฐ หัวหน้าหรือรองหัวหน้าพรรคการเมือง หัวหน้าหรือรองหัวหน้า
สหภาพหรือสมาคม
มาตรา ๑๔๐          ใหม่ (มาตรา ๑๒๑ เดิม และแก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) พระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรี ประธานสภาแห่งชาติ สมาชิกสภาแห่งชาติจำนวนหนึ่งในสิบของสมาชิกสภาแห่งชาติ
ประธานวุฒิสภา หรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งในสี่ของสมาชิกวุฒิสภา อาจส่งร่างกฎหมายที่สภา
แห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแล้วให้คณะกรรมการรัฐธรรมนูญพิจารณาก่อนประกาศใช้บังคับได้
ข้อบังคับสภาแห่งชาติ ข้อบังคับวุฒิสภา และกฎหมายเกี่ยวกับการจัดองค์กรอื่น ๆ ให้เสนอต่อ
คณะกรรมการรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาก่อนการประกาศใช้ คณะกรรมการรัฐธรรมนูญจะต้อง
พิจารณาร่างกฎหมายและข้อบังคับดังกล่าวข้างต้น เป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จ
ภายในระยะเวลาสามสิบวัน
มาตรา ๑๔๑          ใหม่ (มาตรา ๑๒๒ เดิม และแก้ไขมีนาคม ค.. ๑๙๙๙) เมื่อได้มีการประกาศใช้
เป็นกฎหมายแล้ว พระมหากษัตริย์ ประธานวุฒิสภา ประธานสภาแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี สมาชิก
วุฒิสภาจำนวนหนึ่งในสี่ สมาชิกสภาแห่งชาติจำนวนหนึ่งในสิบ หรือศาลอาจร้องขอให้คณะกรรมการ
รัฐธรรมนูญพิจารณาทบทวนความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญของกฎหมายนั้นได้
มาตรา ๑๔๒         ใหม่ (มาตรา ๑๒๓ เดิม) บทบัญญัติในมาตราใดที่คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ
พิจารณาว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ จะประกาศหรือนำไปใช้บังคับมิได้
การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นอันสิ้นสุด
มาตรา ๑๔๓         ใหม่ (มาตรา ๑๒๔ เดิม) พระมหากษัตริย์จะทรงให้คำปรึกษาเกี่ยวกับข้อเสนอขอ
แก้ไขเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๑๔๔         ใหม่ (มาตรา ๑๒๕ เดิม) ให้การจัดองค์กรและการดำเนินงานของคณะกรรมการ
รัฐธรรมนูญ เป็นไปตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกำหนด
หมวด ๑๓
การบริหารราชการ
-----------------
มาตรา ๑๔๕         ใหม่ (มาตรา ๑๒๖ เดิม) ดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาแบ่งออกเป็นจังหวัดและ
นคร
เขตพื้นที่แต่ละจังหวัดแบ่งเป็นอำเภอ และพื้นที่แต่ละอำเภอแบ่งเป็นตำบล
เขตพื้นที่แต่ละนครแบ่งเป็นเขต และเขตพื้นที่แต่ละเขตแบ่งเป็นแขวง
มาตรา ๑๔๖          ใหม่ (มาตรา ๑๒๗ เดิม) การปกครองจังหวัด นคร ๑ อำเภอ เขต และแขวง ให้
เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ๒
หมวด ๑๔
รัฐสภา
-----------------
มาตรา ๑๔๗         ใหม่ (มาตรา ๑๒๘ เดิม) รัฐสภาจะต้องแจ้งเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติ
รวมทั้ง การยกประเด็นปัญหาและคำร้องขอให้เจ้าหนาที่รัฐแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ทราบโดยตรง
ประชาชนกัมพูชาชายและหญิงมีสิทธิเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา
มาตรา ๑๔๘         ใหม่ (มาตรา ๑๒๙ เดิม) นายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมรัฐสภาปี ละหนึ่งครั􀃊งในช่วง
ต้นเดือนธันวาคมในการประชุมรัฐสภา พระมหากษัตริย์จะเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการประชุม
รัฐสภา
มาตรา ๑๔๙          ใหม่ (มาตรา ๑๓๐ เดิม) รัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบข้อเสนอแนะของวุฒิสภาและ
สภาแห่งชาติต่อฝ่ายบริหาร
การจัดการองค์กรและการบริหารงานของรัฐสภาให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
หมวด ๑๕
การบังคับใช้ การปรับปรุง และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
-----------------
มาตรา ๑๕๐          ใหม่ (มาตรา ๑๓๑ เดิม) รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของราชอาณาจักรกัมพูชา
กฎหมายและคำวินิจฉัยของสถาบันของรัฐ จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด
๑ รายชื่อจังหวัดและนคร โปรดดูรายละเอียดที่หน้า ๗๙
๒ ภาษาเขมร
phum หมายถึง หมู่บ้าน
khum หมายถึง ตำบล
srok หมายถึง อำเภอ
ซึ่ง ๓ คำนี้ เป็นการแบ่งเขตการปกครองที่ใช้เรียกพื้น ที่ในเขตจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่กรุงพนมเปญหรือเขตนคร
sangkat คือ เขตการปกครองเฉพาะในพื้น ที่กรุงพนมเปญและนครอีก ๓ แห่ง หมายถึง แขวง
khan คือ เขตการปกครองเฉพาะในพื้น ที่กรุงพนมเปญและนครอีก ๓ แห่ง หมายถึง เขต
มาตรา ๑๕๑          ใหม่ (มาตรา ๑๓๒ เดิม) พระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรี และประธานสภาแห่งชาติ
โดยการเสนอแนะของสมาชิกสภาแห่งชาติจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด มีอำนาจในการ
เสนอให้มีการทบทวนหรือแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
มติที่เห็นชอบให้ทบทวนหรือแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากจำนวนสองใน
ห้าของจำนวนสมาชิกสภาแห่งชาติทั้งหมด
มาตรา ๑๕๒        ใหม่ (มาตรา ๑๓๓) ในระหว่างที่ประเทศอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามมิให้มีการ
ทบทวนหรือแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๑๕๓         ใหม่ (มาตรา ๑๓๕ เดิม) การทบทวนหรือแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลกระทบ
ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีและพหุนิยม และแบบมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้
รัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้
หมวด ๑๖
บทเฉพาะกาล
-----------------
มาตรา ๑๕๔         ใหม่ (มาตรา ๑๓๕ เดิม) ภายหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบ
พระมหากษัตริย์จะทรงประกาศให้รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับอย่างสมบูรณ์โดยทันที
มาตรา ๑๕๕         ใหม่ (มาตรา ๑๓๖ เดิม) ภายหลังรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ
เปลี่ยนเป็นสภาแห่งชาติ
ให้ข้อบังคับสภาแห่งชาติมีผลบังคับใช้ภายหลังได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติ
ในกรณีที่สภาแห่งชาติยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานและรองประธานคนที่หนึ่งและคนที่
สองของสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในสภาราชบัลลังก์ หากเกิดสถานการณ์ขึ้นในประเทศ
มาตรา ๑๕๖          ใหม่ (มาตรา ๑๓๗ เดิม) ภายหลังรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ พระมหากษัตริย์จะ
ได้รับการเลือกให้ขึ้นครองราชย์ ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๓ (ใหม่) และมาตรา ๑๔
มาตรา๑๕๗          ใหม่ (มาตรา ๑๓๘ เดิม) ภายหลังรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ และในระหว่างสภา
แห่งชาติชุดแรก ให้พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง
และนายกรัฐมนตรีคนที่สองขึ้นเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยความเห็นชอบของประธานและรองประธาน
สภาแห่งชาติทั้งสองคน
ก่อนการให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญร่วมเข้าร่วมเป็น
กรรมาธิการในคณะกรรมาธิการปฏิบัติหน้าที่แทนประมุขของรัฐในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
และในสภาราชบัลลังก์ ตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา ๑๑ และ มาตรา ๑๓
ให้วุฒิสภาชุดแรกมีวาระห้าปี และให้สิ้นสุดวาระเมื่อวุฒิสภาชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในวาระแรกของ
วุฒิสภา :
- ให้มีสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหกสิบเอ็ดคน
- พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวนสองคน รวมทั้ง
ประธานวุฒิสภา รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และรองประธานวุฒิสภา คนที่สอง
- พระมหากษัตริย์ โดยการเสนอของประธานวุฒิสภาและประธานสภา
แห่งชาติจะแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา อื่นจากสมาชิกของพรรคการเมือง
ที่ได้รับเลือกตั้งในสภาแห่งชาติ
การประชุมร่วมระหว่างสภาแห่งชาติและวุฒิสภาให้ประธานทั้งสองสภาเป็นผู้ทำหน้าที่
มาตรา ๑๕๘         ใหม่ (มาตรา ๑๓๙ เดิม) กฎหมายและเอกสารรับรองในกัมพูชาที่คุ้มครอง
ทรัพย์สิน สิทธิ เสรีภาพ และทรัพย์สินส่วนบุคคลตามกฎหมาย และสอดคล้องกับผลประโยชน์ของ
ชาติ จะยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีการแก้ไขหรือยกเลิกโดยกฎหมายหรือเอกสารรับรองฉบับ
ใหม่ ทั้งนี้ เว้นแต่บทบัญญัตินั้นขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการรับรองโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน
.. ๑๙๙๓ ในสมัยประชุมครั้งที่ ๒


กรุงพนมเปญ วันที่ ๒๑ กันยายน ๑๙๙๓
นายซอน แซน
ประธานสภารัฐธรรมนูญ
วันที่ ๒๑ กันยายน ๑๙๙๓
รัฐธรรมนูญฉบับนี􀃊ได้รับการรับรองโดยสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เม􀃉ือวันท􀃉ี ๔ มีนาคม ๑๙๙๙
ในการประชุมสภาแห่งชาติ ครัง􀃊 􀃉ี ๒ กรุงพนมเปญ วันท􀃉ี ๖ มีนาคม ๑๙๙๙
นโรดม รณฤทธิ