1
กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษอังกฤษเป็นประเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อังกฤษได้สร้างกฎเกณฑ์การ ปกครองประเทศที่เป็นมรดกสำคัญ ซึ่งทิ้งไว้ให้แก่โลก คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาขึ้นดังที่มีประเทศต่าง ๆ จำนวนมาก ต่างพากันใช้ระบบนี้ภายใต้ความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันของ 3 สถาบันหลัก
อังกฤษ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของดินแดนล้อมรอบด้วยทะเล เรียกว่า เกาะบริเตนใหญ่ (Great Britain: G.B.) อันประกอบด้วย 3 ประเทศ หรือแคว้น คือ อิงแลนด์ (England) สกอตแลนด์ (Scotland) และเวลส์ (Wales) แต่ทว่า เมื่อผนวกเอาอีกประเทศหนึ่ง คือ ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) เข้ามารวมอยู่ด้วยแล้ว ทั้งหมดจะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สหราชอาณาจักร” (The United Kingdom : U.K.)
สหราชอาณาจักร ซึ่งถือกำเนิดในปี ค.ศ.1801 นั้น เกิดจากการผนวกรวมของแคว้นต่างๆ ที่เคยเป็นรัฐอิสระมาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเดียวกัน ณ เวสมินเตอร์ ในลอนดอน การผนวกรวมนี้ เกิดขึ้นต่างวาระกัน ปัจจุบันสหราชอาณาจักร จึงประกอบด้วย อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ นั่นเอง ดังนั้น เพื่อความเข้าใจง่าย ในที่นี้ จะขอเรียกสหราชอาณาจักร ว่า อังกฤษ ประเทศอังกฤษ เป็นแม่แบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การมีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อันเนื่องมาจากการที่ประเทศอังกฤษมีประวัติศาสตร์ทางการเมืองการปกครองที่มีพัฒนาการมาเป็นเวลายาวนาน
ในที่นี้ จะกล่าวถึงเรื่องราวของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษที่มีลักษณะพิเศษ เพื่อทำความเข้าใจ และแสดงให้เห็นถึงสภาพทางประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครองของอังกฤษ ที่ส่งผลทำให้อังกฤษมีระบบการปกครองที่ได้รับการยอมรับยิ่งจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก
กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ : รัฐธรรมนูญที่มีชีวิต
กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ คือ อังกฤษเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten Constitution) ซึ่งหมายถึง หลักการปกครองต่างๆ ไม่ได้อยู่รวมกันเป็น รัฐธรรมนูญเฉพาะ แต่กระจายอยู่ตามกฎหมายต่างๆ และคำพิพากษาต่างๆ รวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาจนกลายเป็นจารีตประเพณี ดังนั้น จึงมีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เสมือนเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งที่กล่าวมานี้ทำให้รัฐธรรมนูญอังกฤษมีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง อันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการยาวนานของระบอบประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจของกลุ่ม และชนชั้นต่างๆ กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษจึงเป็นการค่อยๆ ลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ลงที่ละเล็กละน้อย ดังจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญอังกฤษในยุคแรกเป็นการดุลอำนาจระหว่างพระมหากษัตริย์กับกลุ่มขุนนาง ต่อมาในศตวรรษที่ 19 มีรัฐธรรมนูญที่เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางมากขึ้น เรื่อยมาจนเป็นรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 20
2
ดังนั้น การที่จะเข้าใจรัฐธรรมนูญอังกฤษที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากประเทศอื่นๆ นั่นก็คือ การที่มีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร จึงควรทำความเข้าใจเบื้องต้นถึงประวัติ และที่มาของรัฐธรรมนูญรวมถึงหลักการสำคัญที่ถูกกำหนดเป็นพื้นฐานของรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะเห็นภาพรวมของรัฐธรรมนูญอังกฤษประวัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ รัฐธรรมนูญอังกฤษในยุคแรกๆ มีบทบัญญัติที่สำคัญดังนี้
• บทบัญญัติแมคนาคาร์ตา (Magna Carta 1215)
ในสมัยพระเจ้าจอห์นซึ่งพระองค์ต้องการเงินทำสงคราม จึงบังคับให้ประชาชนเสียภาษีมากขึ้นและทำการปกครองโดยการกดขี่ประชาชนทำให้ประชาชนเดือดร้อน จนก่อให้เกิดการรวมกำลังต่อต้านพระมหากษัตริย์ และบังคับให้พระเจ้าจอห์นลงพระนามในเอกสารที่สำคัญ คือ บทบัญญัติแมคนาคาร์ตา ในปี ค.ศ. 1215 ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ (1) พระเจ้าแผ่นดินจะเรียกเก็บภาษี หรือขอให้ราษฎรให้ความช่วยเหลือไม่ได้ นอกจากจะได้รับความยินยอมจากที่ประชุมหัวหน้าราษฎร (2) การงดใช้กฎหมาย หรือการยกเว้นไม่ใช้กฎหมายบังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะกระทำไม่ได้ (3) บุคคลใดๆ จะถูกจับกุมคุมขัง หน่วงเหนี่ยว หรือขับไล่เนรเทศไม่ได้ นอกจากการนั้นเป็นไปโดยคำพิพากษาที่ชอบ และตามกฎหมายของบ้านเมือง นอกจากนี้บทบัญญัติแมคนาคาร์ตาถือเป็นรากเหง้าของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญประเทศอังกฤษ และเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์การปกครองของอังกฤษ รวมทั้งวางหลักวิธีพิจารณาความของอังกฤษด้วย
• คำขอสิทธิ (Petition of Right, 1628)
เป็นเอกสารที่วางพื้นฐานให้ประชาชนสามารถประท้วงพระมหากษัตริย์ ในเรื่องของการเก็บภาษี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐสภา การจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ และการกระทำอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบถึงเสรีภาพของประชาชน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงจำยอมต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้ทุกข้อ
• พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (Bill of Rights, 1689)
เป็นการยุติพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ละเว้น และเพิกเฉยต่อการออกกฎหมายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐสภา ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของสภาสามัญ ในการต่อสู้ กับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มาเป็นเวลายาวนาน
• กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ (The Act of Settlement, 1701)
ไม่เพียงแต่บัญญัติเรื่องของการสืบสันตติวงศ์เท่านั้น แต่ยังได้วางหลักความเป็นอิสระในการพิพากษาคดีของศาล และวางเงื่อนไขหลักการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญเอาไว้อีกด้วย
3
ที่มาของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษถึงแม้ว่าอังกฤษจะไม่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ประมวลกฎหมายทั้งปวงไว้ด้วยกัน แต่กระจัดกระจายอยู่ในรูปแบบกฎหมาย จารีตประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญอังกฤษยังมี องค์ประกอบจากที่มาหลายแหล่ง ซึ่งที่สำคัญๆ ได้แก่
• กฎหมายที่บัญญัติขึ้น (Statute Law)
เป็นแหล่งสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติที่บัญญัติขึ้นโดยรัฐสภา (Act of Parliament) และกฎหมายรองที่ตราขึ้นตามอำนาจที่พระราชบัญญัติมอบให้ เช่น พระราชบัญญัติ รัฐสภา พระราชบัญญัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น
• กฎหมายจารีต (Common Law)
ประกอบด้วย กฎ ระเบียบ และจารีตประเพณี ที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งศาลได้ตีความวินิจฉัยแล้วให้ความเห็นชอบด้วย จึงถือเป็นกฎหมายที่มีมาก่อน (Precedent) และกลายเป็นพื้นฐานที่สำคัญของระบบกฎหมายอังกฤษ รัฐสภายอมรับบทบัญญัติต่างๆ ของกฎหมายจารีต ในการบัญญัติกฎหมายของสภา กฎหมายจารีตที่สำคัญ ได้แก่ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เช่น อำนาจในการทำสนธิสัญญา อำนาจประกาศสงคราม อำนาจยุบสภาอำนาจพระราชทานอภัยโทษ เป็นต้น
• ธรรมเนียมปฏิบัติ (Conventions Law)
คือ กรอบการประพฤติปฏิบัติเชิงรัฐธรรมนูญที่มีมาเป็นระยะเวลานาน แต่ไม่ถือเป็นกฎหมาย ไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้ ธรรมเนียมปฏิบัติในทางรัฐธรรมนูญอาจแบ่งออกได้เป็น (1) ธรรมเนียมเกี่ยวกับการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบบคณะรัฐมนตรี ที่สำคัญ อย่างเช่น พระราชดำรัสที่พระมหากษัตริย์ทรงอ่านในพิธีเปิดรัฐสภาตามที่สภาสามัญเป็นผู้เขียนขึ้นทูลเกล้า ถือเป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ รวมถึง ธรรมเนียมปฏิบัติที่พระมหากษัตริย์จะไม่ทรงยับยั้งร่างกฎหมายที่ผ่านเห็นชอบของรัฐสภาอย่างถูกต้องตามขั้นตอนสภาแล้ว
(2) ธรรมเนียมที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสภาขุนนางกับสภาสามัญ รวมถึงวิธีการดำเนินการทางรัฐสภาด้วย เช่น มีขนบธรรมเนียมในรัฐสภาว่า สมาชิกที่เข้าอภิปรายในรัฐสภาเป็นครั้งแรก จะมีเอกสิทธิ์ในการพูดโดยไม่มีผู้ใดว่ากล่าวอะไรทั้งสิ้น หรือประธานสภาจะต้องไม่ฝักใฝ่กับพรรคการเมืองใด รวมทั้งการที่ขุนนางที่ไม่ใช่ขุนนางกฎหมาย (Law Lords) จะไม่เข้าร่วมพิจารณาคดีในสภาขุนนาง หรือการที่ประธานสภาจะต้องให้โอกาสแก่สมาชิกพรรคข้างน้อยในสภาได้อภิปรายสลับกันกับสมาชิกพรรคการเมืองข้างมาก เป็นต้น (3) ธรรมเนียมที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับประเทศในเครือจักรภพ เช่น รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรจะไม่ตรากฎหมายใช้บังคับแก่ประเทศอาณาจักร เว้นแต่ได้รับการร้องขอและได้รับความยินยอมจากประเทศอาณาจักรนั้นๆ
• ข้อเขียนที่เชื่อถือได้ (Work of Authority)
ผลงานการตีความกฎหมาย โดยอาศัย หนังสือ และข้อเขียนที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นแนวทางในการตี
4
ความของรัฐธรรมนูญ เช่น ผลงานเรื่องAn Introduction to the Study of the Law of the Constitution 1885 ของ A. V. Dicey ผลงานของ Walter Bagehot ชื่อ The English Constitution 1867 เป็นต้น ผลงานเหล่านี้เป็นที่ยอมรับในแวดวงการเมือง กฎหมาย และวิชาการ ซึ่งได้กลายมาเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาตีความกฎหมายต่างๆ• กฎหมายประชาคมยุโรป (European Community Law)
เนื่องจากอังกฤษร่วมอยู่ในสหภาพยุโรป (European Union) ตามพระราชบัญญัติประชาคมยุโรป ปี ค.ศ. 1972 อังกฤษจึงยอมรับในความเหนือกว่าของกฎหมาย และระเบียบ สนธิสัญญา ข้อผูกพันต่างๆ และการตัดสินใจร่วมกันของสหภาพยุโรป ตัวอย่างสภาขุนนาง มีความเห็นว่า พระราชบัญญัติการค้าทางเรือ ปี ค.ศ. 1988 นั้น ผิดกฎหมาย เนื่องจากมีความขัดแย้งกับกฎหมายสหภาพยุโรป
หลักการสำคัญๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ
หลักการสำคัญ (Main Principles) หรือองค์ประกอบพื้นฐาน (Essential Constituents) ของรัฐธรรมนูญอังกฤษที่มีผลต่อระบบการปกครอง มีอยู่ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นเอกรัฐ / รัฐเดี่ยว (Unitary State)
สถานภาพที่อังกฤษ เป็นการรวมตัวกันทางการเมืองขึ้นมาเป็นสหราชอาณาจักรของหลายประเทศ แต่อังกฤษกลับคงสภาพเป็นรัฐเดี่ยวตลอดมา ทั้งนี้ เห็นได้จากการที่อำนาจในทางการปกครองของอังกฤษเป็นของรัฐสภาที่ลอนดอน แทนที่จะแบ่งให้สภาอื่นๆ ที่อยู่รวมกันเป็นสหราชอาณาจักร เนื่องมาจากเหตุผลสำคัญ คือ อิงแลนด์ มีประชากร และทรัพยากรที่มากกว่าแคว้นอื่นๆ อีกทั้งมีอำนาจทางการเมืองในประวัติศาสตร์มากพอที่จะทำให้ส่วนอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร ยอมต่ออำนาจของอิงแลนด์
2. อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา (Parliamentary Sovereignty)
อำนาจอธิปไตยโดยรัฐสภาเป็นลักษณะสำคัญของรัฐธรรมนูญอังกฤษ ในการใช้อำนาบัญญัติกฎหมาย ผู้ใช้อำนาจนี้ได้แก่ พระมหากษัตริย์ สภาขุนนาง และสภาสามัญ พระราชบัญญัติของรัฐสภาถือเป็นกฎหมายสูงสุดไม่มีกฎหมายใดมีอำนาจเหนือกว่า ศาลไม่สามารถพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ทำได้เพียงการตีความกฎหมายเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติรัฐสภาสามารถถูกตรวจสอบในรูปแบบของการยับยั้งความต้องการในการต่อรองของกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจและสมาชิกรัฐสภาได้
3. การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Membership of the Europe Union)
อังกฤษเข้าร่วมในประชาคมยุโรป เมื่อปี ค.ศ. 1973 โดยอังกฤษได้ตราพระราชบัญญัติซึ่งยอมรับว่ามีองค์กรตัดสินใจเหนือรัฐตน ซึ่งเท่ากับว่ากฎหมายสหภาพยุโรปที่มีผลบังคับใช้ โดยตรงต่อประเทศสมาชิก มีผลผูกมัดโดยทั่วไปในอังกฤษ ความเป็นอิสระของอังกฤษในการดำเนินโยบายหลายอย่างถูกจำกัดโดยการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และรัฐสภาอังกฤษไม่สามารถทำการนิติบัญญัติในเรื่องบางเรื่อง และเรื่องที่ทำได้ก็ต้องทำในกรอบที่สหภาพยุโรปวางไว้ แต่อย่างไรก็ตามศาลยุโรปไม่มีสิทธิพิจารณาให้กฎหมายอังกฤษเป็นโมฆะได้ อีกทั้งรัฐสภาของอังกฤษสามารถถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
5
ได้ กล่าวโดยสรุปคือ การที่อังกฤษเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปทำให้อังกฤษได้สละอำนาจอธิปไตยบางส่วนไปนั่นเอง4. หลักนิติธรรม (Rule of Law)
เป็นหลักการที่ฝังรากลึกในรัฐธรรมนูญอังกฤษ และเป็นหลักการที่ขาดไม่ได้สำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
หลักนิติธรรม หมายถึง หลักกฎหมายที่เป็นความคิดเกี่ยวข้องกับกระบวนการ สิทธิ เสรีภาพของบุคคลที่อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเป็นกลาง เสมอภาค เพื่อนำไปสู่ความเป็นธรรม ฝ่ายตุลาการต้องเป็นอิสระ และการตัดสินใจทางด้านตุลาการต้องมีจุดมุ่งหมายที่จะ คุ้มครองสิทธิของปัจเจกบุคคลที่จะถูกพิจารณาต่อหน้าศาล หลักนิติธรรมจึงเป็นไปเพื่อคุ้มครอง ปกป้องสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนจาการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมทั้งจากบุคคลอื่นและจากรัฐ
5. ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาภายใต้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข (Parliamentary Government Under a Constitutional Monarchy)
ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของอังกฤษนั้น พระมหากษัตริย์จะทรงมีภารกิจที่สำคัญตามรัฐธรรมนูญในเชิงพิธีการ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ส่วนในทางการเมืองนั้นทรงกระทำการตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี เช่น อำนาจในการเรียกประชุมสภา ยุบสภา อำนาจในการประกาศสงคราม การแต่งตั้งรัฐมนตรี และการให้อภัยโทษ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์อังกฤษเป็นราชวงศ์หนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความยั่งยืน และได้รับการยอมรับ โดยลักษณะสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษได้แก่ (1) ระบบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และสืบทอดโดยการสืบสันตติวงศ์ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา (2) พระมหากษัตริย์ คือประมุขของประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ และรัฐธรรมนูญมีบทบาททางพิธีการ (3) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (4) พระมหากษัตริย์ต้องนับถือศาสนาคริสต์ นิกายอังกฤษ (Church of England) (5) พระมหากษัตริย์ กษัตริย์จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ (6) พระมหากษัตริย์ทรงบรรลุนิติภาวะเมื่อมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา (7) อำนาจดั้งเดิมของพระมหากษัตริย์เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ การบริหารอำนาจในปัจจุบัน โดยผ่านการถวายคำแนะนำจากผู้นำฝ่ายบริหาร ได้แก่ นายกรัฐมนตรี อาทิ อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พระราชาคณะ ผู้พิพากษาอำนาจในการยุบและเรียกประชุมสภา การประกาศสงคราม การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ (8) พระมหากษัตริย์ทรงทำผิดไม่ได้ (The King Can Do No Wrong) รัฐบาลในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อพระมหากษัตริย์
6
ในส่วนต่อไปจะกล่าวถึงสถาบันการปกครองของอังกฤษโดยเริ่มจากสถาบันนิติบัญญัติที่ถือว่ามีอำนาจอธิปไตยสูงสุด ตามด้วยอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการตามลำดับ ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงการเมืองการปกครองที่ไม่ได้แบ่งแยกอำนาจเด็ดขาดระหว่างสถาบันการเมืองต่างๆ ของอังกฤษระบบการเมืองอังกฤษ
สหราชอาณาจักร หรืออังกฤษ เป็นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ซึ่งใช้อำนาจภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่บางส่วนมาจากกฎหมายที่ร่างขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ขณะที่อีกบางส่วนมาจากจารีตประเพณี ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า หลักการที่สำคัญที่สุดของระบบการเมืองอังกฤษ คือ อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา กล่าวคือ รัฐสภามีอำนาจในการตรา หรือยกเลิก พระราชบัญญัติใดก็ได้ ตามที่เห็นสมควร พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาถือเป็นกฎหมายสูงสุดไม่มีกฎหมายใดมีอำนาจเหนือกว่า ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ทำได้เพียงการตีความกฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น แต่ในทางกฎหมาย และประเพณี ผู้ที่บริหารอำนาจนี้ ประกอบด้วย 3 สถาบัน ได้แก่ พระมหากษัตริย์ สภาขุนนาง และสภาสามัญ Dicey นักกฎหมายของอังกฤษได้กล่าวถึงหลักการอำนาจสูงสุด หรืออธิปไตยของรัฐสภาอังกฤษ ไว้ว่า “รัฐสภามีสิทธิที่จะออกกฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมายใดๆ ก็ได้ ไม่มีผู้ใดในอังกฤษที่จะมีสิทธิเพิกเฉย หรือละเมิดต่อกฎหมายรัฐสภา” หรือคำกล่าวของ Kavanagh ที่ให้ความหมายอำนาจอธิปไตยของรัฐสภาว่า หมายถึง “รัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งอังกฤษมีสิทธิในการที่จะบัญญัติ หรือไม่บัญญัติกฎหมายใดๆ และไม่มีบุคคลใดจะได้รับการยอมรับโดยกฎหมายอังกฤษที่จะมีสิทธิล้มล้างกฎหมายที่บัญญัติโดยรัฐสภา” ด้วยเหตุที่ไม่มีกฎหมายใด เช่น รัฐธรรมนูญ ที่อยู่เหนือพระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภา จึงเท่ากับว่า พระราชบัญญัติรัฐสภา ถือเป็นกฎหมายสูงสุด
โดยสรุปจะเห็นได้ว่า ระบบรัฐสภาซึ่งมีอำนาจสูงสุด และเป็นหลักของการปกครองอังกฤษในปัจจุบันนั้น วิวัฒนาการมาจากสภาใหญ่ (Great Council) ของกษัตริย์สมัยก่อนที่พระมหากษัตริย์ทรงอาศัยสภาเป็นที่ปรึกษา และสภาก็ขยายจำนวนมากขึ้น ตามสถานการณ์นานาประการ
ฝ่ายนิติบัญญัติ
รัฐสภาของอังกฤษมีความเป็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เมื่อมีบทบัญญัติแมคนาคาร์ตา ซึ่งทำให้
พระมหากษัตริย์ต้องทรงรับฟังคำปรึกษาหรือจากขุนนาง และผู้นำชุมชน การเข้าเฝ้าเพื่อให้คำปรึกษานั้นจึงเป็นที่มาของการเกิดรัฐสภาอังกฤษ ในระยะแรกเริ่มรัฐสภาจะมีกษัตริย์เข้าร่วมประชุมด้วยเสมอ แต่ในสมัยต่อมาบทบาทของพระมหากษัตริย์ในรัฐสภาเป็นเพียงพิธีการ เท่านั้น จากวิวัฒนาการความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทำให้สถาบันทางการเมืองของอังกฤษมีความมั่นคง และมีเสถียรภาพ รัฐสภาจึงเป็นสถาบันหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของระบบการเมือง และการปกครองของอังกฤษ เป็นสถาบันที่ขาดไม่ได้ในระบอบการเมืองอังกฤษและได้กลายเป็นแบบอย่างของการปกครองแบบรัฐสภาในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
7
รัฐสภาสหราชอาณาจักรมีอำนาจหลักในการบัญญัติกฎหมายขึ้น เพื่อบังคับแก่กิจการทั้งปวง รวมทั้งบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองให้มีผลเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรด้วย และมีหน้าที่ สรุปได้ดังนี้(1) พิจารณาออกกฎหมาย และพระราชบัญญัติต่างๆ (2) พิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีและการคลังของรัฐบาล (3) พิจารณานโยบายและกำกับดูแลการบริหารของรัฐบาล
ส่วนประกอบของรัฐสภาอังกฤษแบ่งออกเป็น สภาสามัญชน (the House of Commons) และสภาขุนนาง (the House of Lords) ในทางทฤษฎีนั้น จะรวมเอาพระมหากษัตริย์เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาด้วย
พระมหากษัตริย์
สหราชอาณาจักรมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและสัญลักษณ์ของประเทศ (ปัจจุบันประมุขคือ สมเด็จพระราชินี อลิซาเบธที่ 2 ซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์) โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายต่างๆ และแม้จะไม่มีอำนาจใดๆ ทางการเมือง แต่ก็ทรงใช้อำนาจการบริหารผ่านคณะรัฐมนตรีได้ นอกจากนี้ ทรงมีอำนาจในการเรียกประชุม หรือยุบสภา ตลอดจนให้ความเห็นชอบต่อร่างพระราชบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ อย่างไรก็ตาม พระมหากษัตริย์ก็มีสิทธิที่จะได้รับทราบถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าถวายรายงานทุกสัปดาห์ บทบาทที่สำคัญทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ ได้แก่ การกล่าวพระราชดำรัสต่อที่ประชุมรัฐสภาในการเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งถือว่าพระราชดำรัสดังกล่าว เป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล
สภาขุนนาง
สภาขุนนางของอังกฤษน่าจะเป็นสภาที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วย สมาชิกประมาณ 1,000 คน (จำนวนอาจเปลี่ยนแปลงได้) สมาชิกของสภานี้ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนไม่มีอำนาจที่จะถอดถอน หรือควบคุมสมาชิกสภาขุนนาง สมาชิกสภาขุนนางสามารแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ (1) ขุนนางฝ่ายศาสนา (Lords Spiritual) ได้แก่ ผู้นำทางศาสนจักรที่ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ของ ศริสต์ศาสนานิกายต่างๆ หรือ บุคคลระดับสูงทางฝ่ายศาสนาของ Church of England ในระดับ Archbishops ประมาณ 25-30 คน เป็นสมาชิกเฉพาะตัวไม่มีการตกทอดโดยการสืบทอดสายโลหิต สมาชิกประเภทนี้จะมีบทบาทสำคัญในกรณีที่มีปัญหาทางศาสนา ปัญหาทางจริยธรรมและศีลธรรม (2) ขุนนางฝ่ายฆราวาส (Lords Temporal) ซึ่งมีทั้งที่เป็นโดยสืบเชื้อสาย เช่น ราชวงศ์ที่เป็นชาย ท่านผู้หญิง ขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์สูงโดยตำแหน่ง เช่น ขุนนางกฎหมาย (Law Lords) ที่มีความสามารถ และมีชื่อเสียงมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นศาล และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย และโดยการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต เนื่องด้วยทำความดีความชอบแก่ประเทศ ไม่มีการสืบตระกูลจำนวนสมาชิกสภา
8
ขุนนางมีไม่ต่ำกว่า 900 คน แต่ในทางปฏิบัติสมาชิกจะมาประชุมคราวละประมาณ 1 ใน 3 ของสมาชิกที่เข้าประชุมอย่างสม่ำเสมอมีประมาณ 50-60 คนเท่านั้น ในอดีตสภาขุนนางมีอำนาจมาก แต่ต่อมาเมื่อมีการขยายสิทธิเลือกตั้งในศตวรรษที่ 19 ฐานะของสามัญชนสูงขึ้น เพราะใกล้ชิดกับประชาชน ทำให้มีความเป็นประชาธิปไตย ในขณะที่สภาขุนนางจำกัดกลุ่มอยู่เฉพาะผู้ที่เป็นเจ้านายมีตระกูล และในปี 1911 ได้มีพระราชบัญญัติ Parliament Act 1911 และ 1949 ซึ่งเป็นการลดอำนาจสภาขุนนางอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ในปัจจุบันอำนาจของสภาขุนนางจึงลดน้อยลงมากหน้าที่ของสภาขุนนาง
ถึงแม้ว่าสภาขุนนางจะมีอำนาจลดลง ทว่าสภาขุนนางเป็นสัญลักษณ์ในเชิงอนุรักษ์นิยมของอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอังกฤษ หน้าที่หลักของสภาขุนนาง ได้แก่ (1) อำนวยความสะดวกในการพิจารณาร่างกฎหมายที่ไม่เร่งด่วน และไม่เป็นปัญหาขัดแย้งกันมากในรัฐสภา ร่างกฎหมายประเภทนี้จะเสนอต่อสภาขุนนางก่อน (2) ทบทวนร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาจากสภาสามัญชน และสามารถยับยั้งร่างกฎหมายไว้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น (3) ในกรณีที่คดีมีความสำคัญสำหรับสาธารณชน สภาขุนนาง ก็จะเป็นผู้พิจารณาฎีกาในขั้นสุดท้าย ดังนั้นสภาขุนนาง จึงมีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นศาลสูงสุดของประเทศ
สภาสามัญชน
ฝ่ายนิติบัญญัติที่มีบทบาทในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง ได้แก่ สภาสามัญชน มีวิวัฒนาการมาจากความตั้งใจที่จะให้เป็นตัวแทนของประชาชนในประเทศโดยไม่จำกัดชั้นวรรณะ เพื่อให้มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ คอยวิพากษ์ วิจารณ์ และควบคุมการบริหารประเทศของรัฐบาล สมาชิกสภาสามัญประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 659 คน (แล้วแต่จำนวนประชากร) แบ่งเป็น 529 ที่นั่งจากอังกฤษ 72 ที่นั่ง จากสก๊อตแลนด์ 40 ที่นั่ง จากเวลส์ และ 18 ที่นั่ง จากไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เขตละหนึ่งคน (Single Constituency) โดยผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้งจะเป็นผู้ชนะ วาระของสภาสามัญชนมีอายุกำหนดคราวละ 5 ปี หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแต่ละคราว แต่นายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาก่อนครบวาระ และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปก่อนครบกำหนดได้ หรือรัฐสภาอาจมีวาระมากกว่า 5 ปีได้ หากจำเป็นต่อประเทศชาติ หรือภาวะฉุกเฉิน สมาชิกสภาสามัญชนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพอย่างอื่นในขณะดำรงตำแหน่งนักการเมืองอาชีพมีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น
หน้าที่ของสภาสามัญชน
สภาสามัญชนซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน และสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยของอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถาบันฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) หน้าที่ในการตรวจสอบทางนิติบัญญัติ สภาสามัญใช้เวลาส่วนใหญ่ในการตรวจสอบพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐบาลซึ่งขั้นตอนพิจารณากฎหมายของสภาสามัญชน แบ่งออกเป็นวาระแรกนำเสนอร่างพระราชบัญญัติอย่างเป็นทางการต่อที่
9
ประชุมสภา โดยไม่มีการอภิปราย วาระที่ 2 อภิปรายหลักการของร่างพระราชบัญญัติโดยรัฐมนตรี ส.ส. คณะกรรมาธิการ และรายงานต่อที่ประชุมสภาเพื่อพิจารณาแก้ไข เพิ่มเติม หากไม่มีการแก้ไขจึงเข้าสู่ วาระที่สาม เพื่อให้ทั้งสภาพิจารณาผ่านร่างพระราชบัญญัติ โดยการลงมติ เมื่อผ่านขั้นตอนของสภาสามัญชนครบแล้วจึงเสนอร่างฯ ไปยังสภาขุนนางหากสภาขุนนางมีข้อแก้ไขก็จะกลับสู่สภาสามัญชนในขั้นตอนของการอภิปรายข้อแก้ไขของสภาขุนนาง (the Lords’ Amendments) เมื่อผ่านร่างฯ ทั้งสองสภาแล้ว จึงถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธย เป็นพระราชบัญญัติ (Act)2) หน้าที่ในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร สภาสามัญชนมีหน้าที่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ตรวจสอบฝ่ายบริหารซึ่งสามารถกระทำได้โดยการอภิปราย Debates ซึ่งมีทั้งในรูปแบบที่ผู้นำฝ่ายค้านเสนออภิปรายนโยบายของรัฐบาล กระทำได้ 20 ในต่อสมัยประชุมเรียกว่า Opposition Daysหรือรัฐบาลอาจหยั่งหาความคิดเห็นในเรื่องที่ยังไม่ได้กำหนดเป็นนโยบาย เรียกว่า Adjournment และส.ส. อาจยกเรื่องที่มีความเร่งด่วนมาอภิปรายให้รัฐบาลจัดการ เรียกว่า Emergency ซึ่งมีเพียง 4 ครั้งต่อสมัยประชุม เป็นต้น การอภิปรายช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลตรวจสอบรัฐบาลได้มากขึ้นแต่ในทางปฏิบัติการอภิปรายเมื่อมีการลงคะแนนเสียงฝ่ายรัฐบาลก็เป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ การตั้งกระทู้ถาม Question Time ทุกชั่วโมงแรกของการประชุมจะมีช่วงเวลาที่เรียกว่า Question Time เพื่อให้ ส.ส. สามารถตั้งคำถามต่อรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งในเรื่องที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีท่านนั้น และให้รัฐมนตรีมีเวลาเตรียมตัวเพียง 2 วันเพื่อตอบคำถาม นอกจากนี้ยังมีช่วงเวลา Prime Minister’s Questions ให้ผู้นำฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีในลักษณะเดียวกัน โดย ส.ส. สามารถามเสริมได้ การตั้งคณะกรรมาธิการเฉพาะเรื่อง (Select Committees) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ และตรวจสอบการทำงานของกระทรวงต่างๆซึ่งคณะกรรมาธิการของ สภาสามัญสามารถแบ่งออกได้เป็น
(1) คณะกรรมาธิการเต็มสภา (Committee of the Whole House) ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดของสภาสามัญทำหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีความสำคัญ (2) คณะกรรมการสามัญ (Standing Committee) ซึ่งมีประมาณ 5-7 คณะ คณะหนึ่งมีประมาณ 20-50 คน เลือกจากพรรคต่างๆ ตามอัตราส่วนของที่นั่งในสภาสามัญ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัตินั้นเป็นกรรมาธิการด้วย (3) คณะกรรมการวิสามัญ (Select Committees) เพื่อทำหน้าที่เฉพาะเรื่องที่ต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ เช่น คณะกรรมาธิการกิจการบัญชีของรัฐ คณะกรรมาธิการ พิจารณากฎหมายเฉพาะเรื่อง เป็นต้น (4) คณะกรรมาธิการร่วมกันสองสภา (Joint Committees) เป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภาสามัญชน และสภาขุนนางเพื่อร่วมกันพิจารณาเรื่องที่ไม่ เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น ร่างพระราชบัญญัติเอกชนที่สำคัญๆ
10
3) หน้าที่ในการควบคุมทางการคลัง เป็นวิธีการที่สภาสามัญชนใช้ควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล โดยการอนุมัติงบประมาณ ให้ความเห็นชอบการใช้จ่ายงบประมาณ และคอยตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล จะเห็นได้ว่า รัฐสภาเป็นสถาบันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการเมือง และการปกครองของอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางด้านนิติบัญญัติและบทบาทในฐานะสถาบันที่คอยค้ำจุนอำนาจของรัฐบาล อย่างไรก็ดีอำนาจของรัฐสภาอังกฤษในปัจจุบันกลับลดน้อยถอยลง เมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจของฝ่ายบริหาร ทั้งนี้เนื่องจากระบบพรรคการเมืองที่เข้มแข็งของอังกฤษนั่นเองฝ่ายบริหาร
องค์กรสูงสุดของฝ่ายบริหารในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาอังกฤษ คือ รัฐบาลซึ่งทำหน้าที่หลักรับผิดชอบในการบริหารงานของประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล และรัฐมนตรีอื่นๆ ทั้งหมด ก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี กล่าวคือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้น หัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งได้จำนวนที่นั่งข้างมากในสภาสามัญชน และได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาสามัญชนหัวหน้าพรรคนั้น จะได้รับแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) และได้รับมอบหมายให้จัดตั้งคณะรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการสรรหาบุคคลเป็นรัฐมนตรี (Minister) เพื่อประกอบขึ้นเป็นคณะ รัฐมนตรี (Cabinet) โดยเสนอให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งรัฐมนตรีส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบัน มักเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปกติจะถูกเลือกจากบุคคลในพรรคของตนเพื่อเสถียรภาพทางการเมืองโดยนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาจากการยอมรับในตัวรัฐมนตรี ของสมาชิกรัฐสภา สมาชิกพรรค และประชาชน รวมถึงการให้โอกาสแก่นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีความสามารถได้เป็นรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจำเป็นต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีซึ่งเป็นสมาชิกของสภาขุนนางด้วย เพื่อเป็นโฆษกในการอธิบายนโยบาย และการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลต่อสภาขุนนาง หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี อย่างเช่น รายงานกิจการงานฝ่ายบริหารต่อองค์พระประมุข รวมทั้งเป็นประธานของคณะรัฐมนตรีควบคุมงานของทุกกระทรวง ตัดสินปัญหาข้อขัดแย้งของกระทรวงต่างๆและอนุมัติการตัดสินใจที่สำคัญของกระทรวงต่างๆ ในกรณีที่ไม่ต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นต้น แน่นอนว่า อำนาจของนายกรัฐมนตรี ก็คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องของการป้องกันประเทศ การต่างประเทศ เศรษฐกิจ และความมั่นคงแห่งชาติ โดยที่อำนาจที่สำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรี ก็คือ อำนาจในการยุบสภา โดยการกราบบังคมทูลขอให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ เมื่อใดก็ได้ โดยไม่ต้องปรึกษาคณะรัฐมนตรี แต่อย่างใด
ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมีนายกรัฐมนตรีมาแล้วทั้งสิ้น 13 คน คนปัจจุบัน คือนายโทนี่ แบลร์ จากพรรคแรงงาน (Labor Party) และจากประวัติศาสตร์การเลือกตั้งที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจะสลับหมุนเวียนกันระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคแรงงาน สำหรับคณะรัฐมนตรี (Cabinet) มีวิวัฒนาการมา
11
จากคณะองคมนตรีในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ และในศตวรรษที่ 18 ได้ค่อยๆ เป็นอิสระจากสถาบันกษัตริย์ จนเชื่อมโยงใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (Departmental Ministers) ที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานของกระทรวงต่างๆ ประมาณ 22 คน รวมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ (Ministers of State) อีก รวมเป็นคณะรัฐบาลกว่า 100 คน ซึ่งตามกฎหมายไม่มีการกำหนดเรื่องจำนวนรัฐมนตรี โดยจะอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปีด้วยความที่คณะรัฐมนตรีต้องได้รับความสนับสนุนจากสมาชิกสภาสามัญชนเสียงข้างมากดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงไม่ได้เป็นอิสระจากสภาสามัญชน แต่ต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อสภาสามัญชน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจเด็ดขาดระหว่างกันนั่นเอง หน้าที่หลักของคณะรัฐมนตรี สามารถสรุปได้กว้างๆ คือ การร่างกฎหมาย ตัดสินนโยบาย และเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ นอกจากนั้น คณะรัฐมนตรียังรับผิดชอบในการควบคุม และประสานงานกระทรวงสำคัญๆ ของประเทศ มอบหมายให้กระทรวง ทบวง กรมรับนโยบายไปปฏิบัติ อีกทั้งคณะรัฐมนตรี อาจเสนอให้ยุบสภาสามัญชนเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้อีกด้วย ดังนั้น โดยสรุป ฝ่ายบริหาร โดยการนำของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จึงเป็นกลไกสำคัญในการบริหารประเทศ โดยเชื่อมโยงกับฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะสมาชิกสภาสามัญชนจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทำให้ฝ่ายบริหารจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาสามัญชน และจะต้องรับผิดชอบต่อสภา และประชาชน ฝ่ายตุลาการ
ประกอบด้วยผู้พิพากษาที่มาจากวงการวิชาชีพนักกฎหมาย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี หรือ ประธานสภาขุนนาง อำนาจของฝ่ายตุลาการในระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษ มีน้อยกว่าอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร เนื่องจากศาลมีหน้าที่อย่างจำกัดในการตีความพระราชบัญญัติที่รัฐสภาเป็นผู้ออก ไม่มีอำนาจบ่งชี้ว่าพระราชบัญญัติฉบับใดมีลักษณะขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ทั้งนี้เป็นไปตามหลักการอำนาจอธิปไตยของรัฐสภา (Sovereignty of Parliament) ที่มีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ดี ฝ่ายตุลาการของอังกฤษนั้น มีความยึดโยงกับรัฐสภามาก ดังเห็นได้จากการที่หัวหน้าฝ่ายตุลาการ คือ Lord Chancellor มีหน้าที่แต่งตั้งผู้พิพากษาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และอาจเป็นหัวหน้าคณะผู้พิพากษาเมื่อสภาขุนนางทำหน้าที่ศาลอุทธรณ์ และก็เป็นนักกฎหมายอาวุโสที่เป็นสมาชิกสภาขุนนาง (Law Lords) ซึ่งทำหน้าที่ประธานสภาขุนนาง ในขณะเดียวกันก็เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วย (The Cabinet) ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล โดยนัยนี้ ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถเข้าตรวจสอบการทำงานของฝ่ายตุลาการได้ ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง Home Office (Home Secretary) ก็มีอำนาจเสนอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่ หากมีข้อเท็จจริงปรากฏเพิ่มขึ้นมาลักษณะนี้เป็นลักษณะสำคัญของประชาธิปไตยอังกฤษที่ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจอย่างเด็ดขาดระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ และบริหาร กับ อำนาจตุลาการ
12
การควบคุมอำนาจ (The Control of Power)การปกครองโดยรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงกับทฤษฎีเสรีนิยมที่มีแนวคิดที่จะหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวของอำนาจอย่างยิ่ง โดยให้มีการแบ่งอำนาจกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ในการทำหน้าที่ (separation of powers) ตลอดจนให้บุคลากรไม่ซ้อนกัน ฝ่ายต่างๆ จึงจะตรวจสอบและ ถ่วงดุลกันได้ (check and balances) นั่นเอง กระนั้นก็ดี ในอังกฤษ ปัจจุบัน การแยกอำนาจในแง่ของการใช้ตัวบุคคลต่างกันมีอยู่ในกรณี ของฝ่ายตุลาการ แต่กระนั้นก็ไม่ถึงกับเด็ดขาด แต่ในแง่ของการทำหน้าที่โดยอิสระมีมากกว่าที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีต่อกัน แต่ก็ไม่เด็ดขาดอีกเช่นกัน อำนาจในการตรวจสอบและถ่วงดุลของฝ่ายตุลาการไม่มีต่อฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะศาลไม่มีอำนาจพิจารณาว่าพระราชบัญญัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ (judicial review) แต่สามารถตรวจสอบได้ว่าฝ่ายบริหารได้ใช้อำนาจเกินกว่าที่พระราชบัญญัติให้ไว้หรือไม่ ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารนั้นมีความซ้อนทับกันมากในด้านตัวบุคคล โดยรัฐมนตรีมาจากรัฐสภา ซึ่งส่วนหนึ่งคือ สภาสามัญชนที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และรัฐมนตรียังคงเป็นสมาชิกสภานี้ แม้ว่าจะได้รับแต่ตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้วก็ตาม การมีความซ้อนทับกันสะท้อนให้เห็นถึง การที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยของรัฐสภาเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งนั่นเอง แต่พึงสังเกตว่าแม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมากในสภาสามัญชนเพียงใดก็ตาม แต่ทว่า ก็ยังมีสภาขุนนางเป็นองค์กรคอยตรวจสอบและถ่วงดุลอยู่บ้างตามสมควร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น