วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เรื่องที่ 16 หน้าที่พลเมืองดี

  • ความสำคัญของการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของสังคมมีความสำคัญต่อประเทศ เช่น
            1. ทำให้สังคมและประเทศชาติมีการพัฒนาไปได้อย่างมั่นคง
            2. ทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
            3. ทำให้เกิดความรักแบะความสามัคคีในหมู่คณะ
            4. สมาชิกในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
  • แนวทางการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวโรงเรียนและชุมชนแนวทางการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นสมาขิกที่ดีมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้

            1. การเป็นสมาชิกที่ดีขอบครอบครัว
            2. การเป็นสมาชิกที่ดีของโรงเรียน
            3. การเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
  • คุณธรรมของการเป็นพลเมืองดี

            1. การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
            2. การมีระเบียบวินัยและรับผิดชอบต่อหน้าที่
            3. รับฟังความคิดเป็นขอบกันและกันและเคารพในมติของเสียงส่วนมาก
            4. ความซื่อสัตย์สุจริต
            5. ความสามัคคี
            6. ความละอายและเกรงกลัวในการกระทำชั่ว
            7. ความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเอง
            8. การส่งเสริมให้คนดีปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ
  • อ้างอิง
  •           

    หน้าที่พลเมืองดี 


                พลเมือง หมายถึง พละกำลังของประเทศ ซึ่งมีส่วนเป็นเจ้าของประเทศนั่นเอง ต่างจากชาวต่างด้าวเข้าเมือง ชาวต่างประเทศนี้เข้ามาอยู่ชั่วคราว   เมื่อกล่าวถึงพลเมืองของประเทศใด ย่อมหมายถึงบุคคลทั้งหลายที่มีสัญชาติของประเทศนั้นๆ ตามกฎหมายของแต่ละประเทศ เช่น เมื่อกล่าวถึงพลเมืองของประเทศไทยย่อมหมายถึงคนทั้งหลายที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายไทย
         พลเมืองของแต่ละประเทศย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของประเทศนั้น บุคคลต่างสัญชาติที่เข้าไปอยู่อาศัยซึ่งเรียกว่าคนต่างด้าว ไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับพลเมือง และมีหน้าที่แตกต่างออกไป เช่น อาจมีหน้าที่เสียภาษี หรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายของแต่ละประเทศบัญญัติไว้
         สิทธิและหน้าที่เป็นสิ่งคู่กัน เมื่อมีสิทธิก็ต้องมีหน้าที่ พลเมืองของทุกประเทศมีทั้งสิทธิและหน้าที่ แต่จะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศนั้น ๆ และแน่นอนว่าประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิมากกว่าการปกครองในระบอบอื่น เพราะมีสิทธิที่สำคัญที่สุด คือ สิทธิในการปกครองตนเอง 
             พลเมืองดี หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่พลเมืองได้ครบถ้วน ทั้งกิจที่ต้องทำ และกิจที่ควรทำ
             หน้าที่ หมายถึง กิจที่ต้องทำ หรือควรทำ เป็นสิ่งที่กำหนดให้ทำ หรือห้ามมิให้กระทำ ถ้าทำก็จะก่อให้เกิดผลดี เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว หรือสังคมส่วนรวมแล้วแต่กรณี ถ้าไม่ทำหรือไม่ละเว้นการกระทำตามที่กำหนดจะได้รับผลเสียโดยตรง คือ ได้รับโทษ หรือถูกบังคับ เช่น ปรับ จำ คุก หรือประหารชีวิต เป็นต้น โดยทั่วไปสิ่งที่ระบุกิจที่ต้องทำ ได้แก่ กฎหมาย เป็นต้น
             กิจที่ควรทำ คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ หรือละเว้นการกระทำ ถ้าไม่ทำหรือละเว้นการกระทำ จะได้รับผลเสียโดยทางอ้อม เช่น ได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือไม่คบค้าสมาคมด้วย ผู้กระทำกิจที่ควรทำจะได้นับการยกย่องสรรเสริญจากคนในสังคม โดยทั่วไปสิ่งที่ระบุกิจที่ควรทำ ได้แก่วัฒนธรรมประเพณี เป็นต้น
            พลเมืองดีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของชาติคำสั่งสอนของพ่อแม่ ครู อาจารย์ มีความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน รู้จักรับผิดชอบชั่วดีตามหลักจริยธรรม และหลักธรรมของสาสนา มีความรอบรู้ มีสติปัญญาขยันขันแข็ง สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ

      ที่มา: http://nucha.chs.ac.th/1.1.htm, http://www.seal2thai.org/sara/sara053.htm
      เว็บลิงค์: http://nucha.chs.ac.th/1.1.htm, http://www.seal2thai.org/sara/sara053.htm
      คลิปอาร์ต:
      คลิปวิดีโอ:

      เรื่องที่ 15 ประชาธิปไตย


      ประชาธิปไตย


      เป็นรูปแบบการปกครองและวิธีการดำเนินชีวิต ซึ่งยึดหลักของความเสมอภาค เสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน และอำนาจอธิปไตยต้องมาจากปวงชน

      ความหมายของประชาธิปไตย
                      
      1.ความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Democracy ซึ่งมาจากคำภาษากรีกว่า Democratia ซึ่งประกอบด้วยคำ  2  คำ  คือ Demos กับ kratein คำว่า Demos หมายถึง ประชาชน และ Kratein หมายถึง การปกครอง ฉะนั้นประชาธิปไตย (Demoskratia) จึงหมายถึง ประชาชนปกครอง หรือการปกครองโดยประชาชน
                      2.ความหมายที่เน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค นักปรัชญาการเมืองหลายท่านที่ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการปกครองที่ดีก็คือ การปกครองที่เคารพสิทธิและความเสมอภาคของมนุษย์ เชื่อว่าสมาชิกของสังคมทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมโดยส่วนรวม ยอกจากนี้ระบบการเมืองจะต้องเปิดโอกาส หรือให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการดำเนินการใดๆ ภายใต้กฎระเบียบของสังคมด้วย ซึ่งรูปแบบการปกครองดังกล่าว ก็คือระบอบประชาธิปไตย
                      3.ความหมายที่เน้นการเข้ามีส่วนร่วมหรือเสียงของประชาชน ในเมื่อระบอบประชาธิปไตยให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ใช้อำนาจนี่ผ่านทางองค์กรทางการเมืองต่างๆ เพื่อประโยชน์สุขของตนเอง บาทบาทของประชาชนในทางการเมือง จึงมีความสำคัญมากในระบอบนี้ จนมีผู้กล่าวว่า ประชาธิปไตยนั้นถือว่าประชาชน คือ เสียงสวรรค์ เป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมดำเนินการเพื่อสร้างสรรค์สังคมของตนเอง กิจกรรมการเข้าร่วมทางการเมืองของประชาชน อาจเป็นทางอ้อมโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์เข้าไปทำหน้าที่แทน หรืออาจเป็นทางตรง เช่นการประท้วง การร้องเรียน ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลรับทราบถึงปัญหา เป็นต้น
                      4.ความหมายที่เน้นเจตนารมณ์ของประชาชน ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้ความหมายของคำว่าประชาธิปไตยไว้อย่างกระชับและคมคายว่า เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ผู้นำทางการเมืองเป็นผู้ที่ถือเสมือนเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของประชาชน รัฐบาลเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก หรือได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ รัฐบาลจะคงอยู่ในอำนาจต่อไปได้เมื่อวาระสิ้นสุดลง ก็โดยการแสดงให้ประชาชนผู้เลือกตั้งเห็นว่า รัฐบาลสามารถสนองตอบต่อเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น
                      5.ความหมายตามที่มาและขอบเขตอำนาจ มีผู้ให้ความหมายของประชาธิปไตยไว้ว่า อำนาจสูงสุดมาจากประชาชน ทั้งนี้โดยอ้างว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ   โดยธรรมชาติ พวกเขาสามารถที่คิดและกระทำการใดๆ ได้ แต่เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นสังคม เขาจะสละสิทธิ์และอำนาจบางประการให้กับผู้ปกครอง เพื่อใช้อำนาจนั้นดำเนินการภายในกรอบที่กำหนด ฉะนั้นเราจะพบว่ารัฐบาลในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้นจะมีอำนาจที่มีขอบเขต
                      จากความหมายอันหลากหลายของคำว่า ประชาธิปไตย นี้ จึงอาจสรุปความหมายหลักได้ 3 ประการ คือ
                          1.ความหมายในเชิงอุดมการณ์ทางการเมือง
                          2.ความหมายในเชิงรูปแบบการปกครอง
                          3.ความหมายในเชิงวิถีวิชีวิตของประชาชน

      ข้อดีและข้อเสียของประชาธิปไตย
                  ข้อดี

                      
      1.ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพและเสมอภาค ประชาชนทุกคนมีสิทธิแห่งความเป็นคนเหมือนกันไม่ว่ายากดีมีจน เช่น สิทธิในร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน ทุกคนมีเสรีภาพในการกระทำใดๆ ได้หากเสรีภาพนั้นไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เช่น เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการพูด การเขียน การวิพากษ์วิจารณ์ และทุกคนมีความเสมอภาค หรือเท่าเทียมกันที่จะได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย มีความเสมอภาคในการประกอบอาชีพ เป็นต้น
                      2.ประชาชนปกครองตนเอง ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนไปใช้อำนาจนิติบัญญัติในการออกกฎหมายมาใช้ปกครองตนเอง และเป็นรัฐบาลเพื่อใช้อำนาจบริหาร ซึ่งสามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนส่วนรวมได้ดี เพราะผู้บริหารที่เป็นตัวแทนของปวงชนย่อมรู้ความต้องการของประชาชนได้ดี
                      3.ประเทศมีความเจริญมั่นคง การมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองทำให้ประชาชนมีความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติตามกฎ และระเบียบที่ตนกำหนดขึ้นมายอมรับในคณะผู้บริหารที่ตนเลือกขึ้นมาและประชาชนไม่มีความรู้ต่อต้าน ทำให้ประเทศมีความสงบสุขเจริญก้าวหน้าและมั่นคง
                  ข้อเสีย

                       
      1.ดำเนินการยาก ระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักการปกครองที่ดี แต่การที่จัดสรรผลประโยชน์ตรงกับความต้องการประชาชนทุกคนย่อมทำไม่ได้ นอกจากนั้นยังเป็นการยากที่จะให้ประชาชนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติตามสิทธิ เสรีภาพทุกประการ ทั้งนี้เพราะวิสัยของมนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสังคมจึงมีการกระทบกระทั่งและละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นได้
                      2.เสียค่าใช้จ่ายสูง การปกครองระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทน เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่แทนตน การเลือกตั้งในแต่ละระดับต่างต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ทั่งงบประมาณดำเนินงานชองทางราชการและค่าใช้จ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง
                      3.มีความล่าช้าในการตัดสินใจ การตัดสินใจในระบอบประชาธิปไตยต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ โดยผ่านขั้นตอนการอภิปราย แสดงเหตุผลและมติที่มีเหตุผลเป็นที่ยอมรับของสมาชิกส่วนใหญ่ จึงต้องดำเนินตามขั้นตอนทำให้เกิดความล่าช้า เช่น การตรากฎหมาย ต้องดำเนินการตามลำดับขั้นตอนของวาระ อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์เป็นเดือน หรือบางฉบับต้องใช้เวลาเป็นปี จึงจะตราออกมาเป็นกฎหมายได้

      เรื่องที่ 14 ประวัติการศึกษารัฐศาสตร์ของไทย



      ประวัติการศึกษารัฐศาสตร์ของไทย



      การศึกษาด้านรัฐศาสตร์ของไทยเริ่มต้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริจัดตั้ง โรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน เพื่อรับคัดเลือกนักเรียนเข้ามาฝึกหัดเป็นข้าราชการตามกระทรวงต่าง ๆ (สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์หรือ รปส.) ต่อมาได้มีการขยายการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพัฒนาโรงเรียนดังกล่าวเป็น โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
      จากเหตุดังกล่าวนี้ การศึกษารัฐศาสตร์จึงเริ่มต้นขึ้น โดยคณะรัฐศาสตร์แห่งแรก คือ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แห่งที่สอง คือ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และแห่งที่สาม คือ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
      ข้อสังเกตคือในยุคเริ่มแรกนั้นรัฐศาสตร์ไทยนั้นเน้นผลิตบัณฑิตเข้าสู่วงราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต่อมาจึงเป็นที่มาของการใช้ตราสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของสาขาวิชา และอีกส่วนหนึ่งคือการเรียนการสอนรัฐศาสร์ไทยในยุคแรก อันที่จริงเป็นการเรียนการสอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์เพื่อสร้างข้าราชการป้อนให้กับรัฐไทย หรือก็คือสอนวิชาบริหารจัดการสาธารณะภายได้ชื่อรัฐศาสตร์ทำให้ในเวลาต่อมาเกิดความสับสนในวงวิชาการว่ารัฐศาสตร์กับรัฐประศาสนศาสตร์นั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร อย่างไรก็ตามในสังคมไทยมีการศึกษารัฐศาสตร์กระแสหนึ่งซึ่งเริ่มมีอิทธิพลขึ้นมากหลัง พ.ศ. 2526 เรียกว่ารัฐศาสตร์ทวนกระแสซึ่งโดยภาพรวมก็ไม่ต่างแนวหลังพฤติกรรมศาสตร์ในตะวันตก

      เรื่องที่ 13 นักปรัชญายุคใหม่ที่สำคัญ



      นักปรัชญายุคใหม่ที่สำคัญ


      สมัยใหม่
                เป็นยุคที่วิชา รัฐศาสตร์มีแบบแผนของข้อมูลมากที่สุด แนวคิดการแบ่งสันอำนาจ การตรวจสอบถ่วงดุล ปรับปรุงเอาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์มาใช้ในโครงร่างรัฐบาล การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เกิดระบอบทุนนิยม และลัทธิมาร์กซิสต์ตามลำดับ

      จอห์น ล้อค (John Locke)  ผู้ปกครองที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง
           นักปรัชญาชาวอังกฤษ เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Two Treatises of Government (ค.ศ. 1689) แนวคิดหลักของหนังสือคือ การเสนอทฤษฎีที่ว่ารัฐบาลจัดตั้งขึ้นโดยความยินยอมของประชาชน และต้องรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน 
      แนวคิดทางการเมืองของล็อก อาจสรุปได้ว่าประชาชนเป็นที่มาของอำนาจทางการเมืองและมีอำนาจในการจัดตั้ง รัฐบาลขึ้นได้ รัฐบาลจึงมีหน้าที่ปกครองโดยคำนึงถึงประโยชน์และสิทธิธรรมชาติของ ประชาชนอันได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน รัฐบาลมีอำนาจภายในขอบเขตที่ประชาชนมอบให้ และจะใช้เฉพาะเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน เท่านั้น รัฐต้องไม่เข้าแทรกแซงในกิจการของปัจเจกชน นอกจากในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เพื่อรักษาเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้นั้น แนวคิดทางการเมืองดังกล่าวจึงเป็นรากฐานความคิดของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ และมีอิทธิพลต่อปัญญาชนและปรัชญาเมธีของยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มนักคิดฟิโลซอฟ (philosophes) ของฝรั่งเศส 
      มองเตสกิเออ (Montesquieu)  โดยธรรมชาติมนุษย์นั้น มีความอ่อนเเออ ขี้ขลาด เเละหวาดกลัว


                          ( 1689- 1755) มองเตสกิเออร์ได้แบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย โดยพิจารณาในแง่ขององค์กรผู้ใช้อำนาจออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ตามแนวคิดของอริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์การเมืองชาวกรีกโบราณ ซึ่งมีเป้าหมายประการสำคัญคือการให้อำนาจแต่ละฝ่ายถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกัน และกันทั้งสามฝ่าย และเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้ปลอดจากการใช้อำนาจโดยมิชอบของ องค์กรภาครัฐที่ใช้อำนาจหนึ่งอำนาจใดที่อาจละเมิดลิดรอนโดยอำนาจรัฐไม่ว่าฝ่ายใด
                            เหตุผลที่มองเตสกิเออเสนอแนวคิกให้แบ่งแยกอำนาจการปกครองสูงสุดนี้ เนื่องจากเขาเห็นว่า หากอำนาจในการนิติบัญญัติหรือการตรากฎหมาย อำนาจในการบริหารหรือการบังคับตามมติมหาชน และอำนาจตุลาการในการพิจารณาคดี ถูกใช้โดยบุคคลเดียวหรือองค์กรเดียว ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือประชาชนก็ตามแล้ว ยากที่จะมีเสรีภาพอยู่ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะ ผู้ใช้ทั้งอำนาจนิติบัญญัติรวมกับอำนาจบริหาร จะออกกฎหมายแบบทรราชและบังคับใช้กฎหมายในทางมิชอบ หากอำนาจตุลาการรวมกันกับอำนาจนิติบัญญัติ ผู้พิพากษาจะเป็นผู้ออกกฎหมาย อันอาจส่งผลให้ชีวิตและเสรีภาพของผู้ใต้การปกครอง ถูกบังคับควบคุมโดยกฎหมายที่ลำเอียง และหากให้อำนาจตุลาการรวมกับอำนาจบริหารแล้ว ผู้พิพากษาจะประพฤติตัวแบบกดขี่รุนแรง อันจำเป็นต้องแยกอำนาจแต่ละด้านออกจากกัน

      ฌอง ฌาคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ในพันธนาการ
                     ค.ศ. 1712-1778) เป็นชาวฝรั่งเศส ได้เขียนหนังสือชื่อ "สัญญาประชาคม" (Social Contract) ในหนังสือเล่นนี้ รุสโซ กล่าวถึงสัญญาประชาคมว่า หมายถึง สัญญาที่แต่ละคนเข้าร่วมกับทุกคนภายใต้เอกภาพและเจตจำนงอันเดียวกัน โดยที่ประชาชนสามารถก่อตั้งรัฐบาลขึ้นได้และให้อำนาจแก่รัฐบาลเพื่อรับใช้ ประชาชนแต่ถ้าเมื่อใดที่ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลก็อาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ รุสโซ ชี้ให้เห็นว่าสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นสภาวะที่มนุษย์มี ความผาสุก มีอิสระเสรี และความเสมอภาค อย่างไรก็ตามแม้มนุษย์จะเกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งมนุษย์ก็ถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนแห่งพันธนาการ แนวความคิดของรุสโซถือว่าเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
      สำหรับ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในโลกตะวันตก ซึ่งมีความหมายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ได้แก่ การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ของอังกฤษ (ค.ศ.1688) การปฏิวัติอเมริกา (ค.ศ.1776) และการปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ.1789) 


      วอลแตร์ (Voltaire) หากต้องการรู้ว่าใครปกครองคุณ ให้ดูว่าใครที่ไม่อนุญาตให้คุณวิพากษ์วิจารณ์


                     เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีชื่อเดิมว่า ฟร็องซัว-มารี อารูเอ (François-Marie Arouet) เกิดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 (ค.ศ. 1694) ในตระกูลคนชั้นกลาง
                       ผลงานของวอลแตร์มีจำนวนมากมาย หลากหลายประเภททั้งบทละคร นิยาย นิทานเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจุบันเขากลับเป็นที่ยกย่องในฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพากษ์วิจารณ์ (Le symbole de l’esprit critique) ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาธารณชน เพื่อปลุกความคิดวิพากษ์วิจารณ์ให้แก่ชาวฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสถาบันแบบเก่า การต่อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย

      เรื่องที่ 12 นักปรัชญายุคฟื้นฟูที่สำคัญ



      นักปรัชญายุคฟื้นฟูที่สำคัญ

      สมัยฟื้นฟู

      ยุคนี้ รัฐ กลับมามีอำนาจขึ้นอีกครั้ง สันตะปาปาต้องต่อสู้กับการเกิดใหม่ของรัฐ มีการแยกรัฐออกจากศาสนาอย่างชัดเจน ยุคนี้มีการพัฒนาของรัฐอย่างชัดเจน มีสงคราม มีการล่าอาณานิคม การขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรม

      นักบุญโทมัส อะไควนัส (Saint Thomas Aquinas) ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย นอกจากพระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น


       



      พระสงฆ์และนักปราชญ
      (ค.ศ. 1225-1275)
                  ท่าน ชอบเทศน์สอนให้คนจนฟังและเขียนข้อพระธรรมคำสอนบทภาวนาบทสวดสรรเสริญศีลมหา สนิทที่พระศาสนจักรบังคับใช้ทุกวันนี้ หนังสือปรัชญาและเทวศาสตร์ที่ท่านเขียนเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ที่สุดอันดับ หนึ่งสังคยานาวาติกันที่2ก็ได้อ้างอิงคำสั่งสอนของท่านอย่างมากทีเดียว ท่านได้รับเกียรติด้วยการที่พระศาสนาจักรขนานนามท่านว่า >>นักปราชญ์เทวดา<<นักบุญอไควนัส แบ่งประเภทของกฎต่างๆ ออกเป็น 4 ประเภทตามลำดับ คือ
      1 กฎนิรันดร เป็นกฎสูงสุด ถือได้ว่าเป็นแผนการสร้างโลกของพระผู้เป็นเจ้า
      2 กฎธรรมชาติ เป็นกฎสูงสุดรองลงมา และว่าด้วยเหตุผล คุณธรรม ความยุติธรรม ซึ่งเป็นกฎแห่งความประพฤติที่สอดคล้องกับกฎนิรันดร
      3 กฎศักดิ์สิทธิ์ เป็นกฎรองลงมา และว่าด้วยหลักประพฤติปฏิบัติทางศาสนา 
      4 กฎหมายของมนุษย์ เป็นกฎต่ำสุด และกำหนดหลักประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ในทางโลก

      จอห์นแห่งซอสเบอรี่ หรือ จอห์น คริสซอสตอม (John of Salisbury) วจนะน้ำผึ้ง

        
            นักบุญจอห์น คริสซอสตอม ( ค.ศ. 347 - 14 กันยายน ค.ศ. 407) เป็นอาร์ชบิชอปแห่งคอนสแตนติโนเปิลและเป็นนักปราชญ์แห่งคริสตจักรคนสำคัญ
      นักบุญจอห์น คริสซอสตอมมีชื่อเสียงว่าเป็นนักเทศน์และนักปาฐกถาผู้มีฝีปากดี ในการประกาศต่อต้านของการใช้อำนาจในทางที่ผิดของทั้งผู้นำทางการเมืองและทาง ศาสนา, "คริสต์ศาสนพิธีฉบับนักบุญจอห์น คริสซอสตอม" และ หลักการปฏิบัติทางศาสนา หลังจากการเสียชีวิตของแล้วนักบุญจอห์นก็ได้รับนามสกุลเป็นภาษากรีกว่า "Chrysostomos" ที่แปลว่า "วจนะน้ำผึ้ง" ที่แผลงมาเป็นภาษาอังกฤษว่า "Chrysostom" ชาวโรมันคาทอลิกและ อีสเทิร์นคาทอลิกถือว่าจอห์น คริสซอสตอมเป็นนักบุญและเป็นหนึ่งในไฮเออราร์คผู้ศักดิ์สิทธิ์สามองค์ ร่วมกับ นักบุญเบซิลแห่งเซซาเรียและนักบุญเกรกอรีแห่งนาเซียนซัส นิกายออร์ทอดอกซ์และนิกายโรมันคาทอลิกถือว่าเป็นนักปราชญ์แห่งคริสตจักร ส่วนคอปติกออร์ทอดอกซ์ถือว่าเป็นนักบุญ

      ฌอง โบแดง (Jean Bodin)  ความมีอำนาจสูงสุดของกษัตริย์ 


                ท่านเป็นนักปรัชญาการเมืองของโลกตะวันตก ชาวฝรั่งเศส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ พ.ศ. 2100 และเป็นคนแรกที่ริเริ่มใช้คำว่า “อำนาจอธิปไตย” ในความหมายที่เข้าใจได้ในปัจจุบัน กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่ง โบแดง ได้เสนอปรัชญาเกี่ยวกับทฤษฎีอำนาจอธิปไตยในหนังสือเรื่อง “Six Books” ไว้ว่า “อำนาจเป็นเครื่องหมายที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างรัฐกับสังคมอื่น ๆ ที่ครอบครัวหลายครอบครัวอยู่ร่วมกัน และพรรณนาว่าครอบครัวเป็นพลเมืองของรัฐ ซึ่งต้องยอมอยู่ภายใต้อำนาจปกครอง และการยอมรับในอำนาจปกครองของพลเมืองผู้อยู่ใต้การปกครองของรัฐนั้น 

      โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) โดยสภาพธรรมชาติ มนุษย์เป็นคนเห็นแก่ตัวยึดมั่นในตัวตน และการรักษาตัวเอง  
                     (5 เมษายน พ.ศ. 2131 (ค.ศ. 1588) - 4 ธันวาคม พ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679)) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานที่สำคัญคือหนังสือชื่อ Leviathan ที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2194 หนังสือเล่มนี้กลายเป็นฐานประเด็นในแนวปรัชญาการเมืองตะวันตกในสมัยต่อมาในเกือบทุกแนว แนวคิดนี้ฮ็อบส์ได้มาจากทฤษฎีการแสดงเจตนาโดยปริยายในกฎหมายลักษณะสัญญาของ ประเทศอังกฤษ ฮ็อบส์ยืนยันว่าประชาชนตกลงกันในหมู่ของพวกเขาเองที่จะละวางสิทธิตาม ธรรมชาติที่เท่าเทียมและอิสระ และมอบสิทธิอันเด็ดขาดให้แก่รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งอาจเป็นบุคคลคนเดียวหรือคณะบุคคลก็ได้ รัฏฐาธิปัตย์จะได้บัญญัติและบังคับกฎหมายเพื่อรักษาความสงบในสังคม,ให้ซึ่ง ชีวิต,เสรีภาพ,และความสามารถในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งฮ็อบส์เรียกข้อตกลงอันนี้ว่า “สัญญาประชาคม”
                    โทมัส ฮอบส์ กับ สัญญาประชาคม รัฐเกิดขึ้นจากเจตนาของมนุษย์มิได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ฮอบส์มองว่าสภาวะตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของ ตนเอง ดังนั้นสัญชาตญานของมนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ต่างก็ไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ต่างก็กำหนดกฎเกณฑ์ของตนเอง ตัดสินข้อขัดแย้งของตนเองกับผู้อื่น มนุษย์ไม่มีสังคม เป็นสภาวะตามธรรมชาติที่ไม่มีระเบียบหรือกฎเกณฑ์ใดๆ มาควบคุม เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสภาวะดังกล่าว ทุกๆ คนในประชาคมจึงต้องก่อพันธสัญญาขึ้นมาให้ยับยั้งซึ่งกันและกัน รักษาสิทธิของทุกคนโดยผ่านรัฐ ผู้ที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นจึงถูกลงโทษด้วยอำนาจของรัฐนั่นเอง

      เรื่องที่ 11 นักปรัชญายุคโรมันที่สำคัญ



      นักปรัชญายุคโรมันที่สำคัญ

      สมัยโรมัน

             จะแตกต่างกับยุคกรีกอย่างมาก ในยุคนี้รัฐศาสตร์จะไม่ให้ความสำคัญกับรัฐในอุดมคติมากนักแต่จะเป็นพวก ปฏิบัตินิยม มากกว่าคือ มีระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้ปกครองและมีกฎหมาย แนวความคิดสำคัญของยุคนี้คือสิทธิส่วนบุคคล ความเท่าเทียมกัน และหลักประชาธิปไตย


       ชิเซโร (Cicero) ความผิดพลาดประการหนึ่ง ของมนุษย์คือ  ความหลงผิดว่าประโยชน์ส่วนตัวของเราจะได้มาก็โดยการบดขยี้คนอื่น เท่านั้น 

             เป็นนักการเมืองและนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของบโรมันได้บรรยายถึงกฎธรรมชาติตามแนวความคิดของสำนักสโตอิคไว้ดังนี้  "มีกฎหมายที่แท้จริงอยู่ประการหนึ่ง คือ  เหตุผลที่ถูกต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ  แผ่ซ่านไปในสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง  มีผลใช้ได้ถาวรตลอดกาลมี่การเปลี่ยนแปลง  เป็นกฎหมายที่บังคับให้มนุษย์ต้องปฏิบัติหน้าที่ห้ามกระทำความชั่ว และคอยเหนี่ยวรั้งให้พ้นจากความชั่วสุจริตชนย่อมไม่เพิกเฉยต่อบทบัญญัติและข้อห้ามของกฎหมายนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อกฎหมายนี้จะกระทำมิได้ ไม่ว่าจะกระทำโดยสภาซีเนตหรือโดยประชาชน ก็มิอาจได้รับการยกเว้นที่จะไม่ต้อง เคารพเชื่อฟังกฎหมายนี้ กหมายนี้จะไม่เป็นอย่างหนึ่งที่กรุงเอเธนส์และเป็นอีกอย่างหนึ่งที่กรุงโรม แต่จะเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับทุกชาติและทุกยุคสมัย”
              คำกล่าวของซิเซโร เป็นการยืนยังถึงหลักการของแนวความคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติ โดยที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างกฎอันเป็นสากลขึ้นมาเพื่อปกครองโลก ถือเป็นหลักธรรมนูญของโลก กฎหมายดังกล่าวมีความถูกต้องและสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งมีเหตุผลและมีธรรมชาติที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสังคม กฎนี้จะเป็นอย่างเดียวกันสำหรับทุกมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ใช้ได้กับทุกคนและทุกสถานที่ กฎใดก็ตามที่มนุษย์สร้างขึ้นให้ขัดแย้งกับกฎนี้จะต้องถูกยกเลิกไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป

      นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป (Saint Augustine of Hippo) มนุษย์ต้องแสวงหาพระเจ้า

              เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 354 ที่เมืองทากาส ในประเทศแอลจีเรีย และถึงแก่กรรมเมื่อ 28 สิงหาคม ค.ศ. 430) ที่เมืองฮิปโปเรเจียส ในประเทศแอลจีเรีย เป็นนักปรัชญา นักเทววิทยา และเป็นบิชอปที่เมืองฮิปโปเรเจียส นักบุญออกัสตินเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวิวัฒนาการของคริสต์ศาสนาทางตะวันตก ถือกันว่าเป็นบิดาแห่งศาสนาและเป็นผู้ริเริ่มปรัชญาเกี่ยวกับ “ปฐมบาป” (Original sin) และ “สงครามยุติธรรม” (Just war)
      ออกัสตินมีความเห็นว่า ในตัวมนุษย์ได้เกิดการต่อสู้ระหว่างความรัก 2 แบบคือ การรักพระเจ้าและการทำตามกฏศีลธรรม กับการรักพระองค์และรักโลกนี้ ดังนั้น ท่านจึงแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ค่าย คือกลุ่มที่ตัดสินใจรักในพระองค์ กับกลุ่มที่ตัดสินใจปฏิเสธพระเจ้าและรักตัวเองและรักโลกแทน จากสิ่งนี้เองท่านจึงมีทัศนะที่เชื่อมต่อเรื่องสังคมและรัฐ คือให้ทัศนะว่า รัฐ (State) มีความสำคัญน้อยกว่าศาสนจักร (Church) ท่านคิดเช่นนั้นก็เพราะว่า ศาสนจักรเป็นนครแห่งพระเจ้า ความยุติธรรมจะเกิดดฉพาะในรัฐและในสังคมที่เคารพบูชาพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น รัฐเป็นสิ่งไม่จำเป็น และไม่มีความสำคัญเท่าศาสนจักร เหตุผลพราะรัฐที่ไม่นับถือพระเจ้าย่อมไม่มีศีลธรรม ก่อเหตุร้ายต่าง ๆ เสมอ และหาความยุติธรรมในสังคมไม่ได้เลยนั้นเอง
      ออกัสตินมีความเห็นว่า ในตัวมนุษย์ได้เกิดการต่อสู้ระหว่างความรัก 2 แบบคือ การรักพระเจ้าและการทำตามกฏศีลธรรม กับการรักพระองค์และรักโลกนี้ ดังนั้น ท่านจึงแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ค่าย คือกลุ่มที่ตัดสินใจรักในพระองค์ กับกลุ่มที่ตัดสินใจปฏิเสธพระเจ้าและรักตัวเองและรักโลกแทน จากสิ่งนี้เองท่านจึงมีทัศนะที่เชื่อมต่อเรื่องสังคมและรัฐ คือให้ทัศนะว่า รัฐ (State) มีความสำคัญน้อยกว่าศาสนจักร (Church) ท่านคิดเช่นนั้นก็เพราะว่า ศาสนจักรเป็นนครแห่งพระเจ้า ความยุติธรรมจะเกิดดฉพาะในรัฐและในสังคมที่เคารพบูชาพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น รัฐเป็นสิ่งไม่จำเป็น และไม่มีความสำคัญเท่าศาสนจักร เหตุผลพราะรัฐที่ไม่นับถือพระเจ้าย่อมไม่มีศีลธรรม ก่อเหตุร้ายต่าง ๆ เสมอ และหาความยุติธรรมในสังคมไม่ได้เลยนั้นเอง


      เรื่อง 10 นักปรัชญายุคกรีกที่สำคัญ



      นักปรัชญายุคกรีกที่สำคัญ


      ยุคกรีก




               การศึกษารัฐศาสตร์รุ่งเรืองอย่างมาก เน้นความสำคัญของศีลธรรม พยายามทำรัฐให้เป็นอุดมคติ นับเป็นรากฐานสำคัญของรัฐศาสตร์อย่างแท้จริง ปัจจุบันเรายกย่องให้ เพลโต เป็นบิดาของปรัชญาการเมือง และ อริสโตเติลเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์

             โซคราติส (Socretis)  ความรู้ คือ คุณธรรม

                  พ.ศ.73 - 144 เกิดที่เอเธนส์ คิดว่าความรู้เรื่องปฐมธาตุ โลกหรือกำเนิดจักรวาลมีประโยชน์น้อยมาก  ความรู้ควรเกี่ยวกับมนุษย์และหน้าที่มนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น   การค้นคว้าปรัชญามีจุดมุ่งหมายมากกว่าที่การปฎิบัติมากกว่าการสร้างทฤษฏี  ทางอภิปรัชญา เหตุผลเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้  เหตุผลช่วยให้ค้นหามโนภาพ ความรู้เป็นมโนภาพ มโนภาพคือความรู้จักสิ่งสากล
      วิธีการของโซคราติส  เป็นศิลปะการสนทนาได้เเก่ 1 สงสัย (sceptical)  2 สนทนา(conversational)      3 หาคำจำกัดความ (defination)  4 อุปนัย (inductiive)  5 นิรนัย (deductiive)
      อริสโตเติลกล่าวว่า "คนที่มือถึอสาก ปากถือศีล ( Hypocite) คนมากด้วยกิเลสตัณหาเป็นพวกแพ้จิตใจที่ต่ำ"  กรีกมีนักปรัชญาสำคัญที่สุดคือพลาโตและอริสโตเติล

          เพลโต (Plato) โลกแห่งผัสสะกับโลกแห่งมโนคติ

      พ.ศ. 116 – 196 ชื่อเดิมคืออริสโตเคลอส์ (Aristocles) พลโตเป็นนักปรัชญาตะวันตกคนแรกที่สอนปรัชญาอย่างมีระบบ พลาโตกล่าวว่าความรู้ระดับผัสสะหรือสัญชานไม่ใช่ความรู้เป็นเพียงทัศนะ   แต่ละคนให้ความรู้ไม่ตรงกันและสัญชานไม่ช่วยให้คนเราพบความจริงแท้  ความรู้แท้จริงได้จากเหตุผล  ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนคติ(Idea) โสเครติสกล่าว่า ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนภาพ(Concept)   พลาโตกล่าวว่า คนค้นพบมโนคติโดยการคิดแบบวิภาษวิธี  จิตมีวิธีทำวิภาษวิธี  ที่อธิบายด้วยเส้นแบ่ง
      "อภิปรัชญาของเพลโตเป็นเรื่องเกี่ยวกับทฤษฏีแห่งมโนคติ และจักรวาลวิทยา  ทฤษฎีแห่งมโนคติหรือแบบของเพลโตนับเป็นการค้นพบปรัชญาที่สำคัญของเพลโต ทฤษฎีเสนอแก่นแท้หรือสาระของสรรพสิ่งต่างจากปฐมภูมิธาตุของปรัชญากรีกสมัยนั้น"

        อริสโตเติล ( Aristotle ) มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง

      พ.ศ. 160 -  222  คำสอนที่น่าสนใจของอริสโตเติลได้แก่ ความเชื่อที่ว่าโลกเรานี้ประกอบด้วยธาตุต่างๆ 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ ในเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลนั้นอริสโตเติลเข้าใจว่า โลกเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีดวงดาวต่าง ๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์โคจรรอบ ๆ สวรรค์นั้นอยู่นอกอวกาศ โลกอยู่ด้านล่างลงมา น้ำอยู่บนพื้นโลก ลมอยู่เหนือน้ำ และไฟอยู่เหนือลมอีกทีหนึ่ง ธาตุต่าง ๆ ของโลกจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ทว่าธาตุที่ประกอบเป็นสวรรค์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงจะมีรูปร่างเช่นนั้นตลอดไป ซึ่งคำสอนต่อมาในปี ค.ศ. 1609 โจฮันน์ เคปเลอร์ (Johann Kepler) ได้ตั้งกฏของเคปเลอร์ ซึ่งเป็นการประกาศว่า โลกเราโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี เป็นการลบล้างความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลของอริสโตเติล และในอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ กรณีของวัตถุสองอย่างที่มีน้ำหนักไม่เท่ากัน จะตกลงถึงพื้นไม่พร้อมกันตามหลักของอริสโตเติล ซึ่งกาลิเลโอ ได้ทำการพิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนที่หอเอนแห่งปิซาว่าเป็นคำสอนที่ไม่จริงในปี ค.ศ. 1600
                     แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีของอริสโตเติลทางด้านชีววิทยานั้นเป็นที่ยกย่องกันมาก เพราะเขาได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของสัตว์ต่างๆ เช่น ปลา และพวกสัตว์เลื้อยคลานและได้ทำการบันทึกไว้อย่างละเอียดมาก เขาได้แบ่งสัตว์ออกเป็น 2 พวกใหญ่ คือ พวกมีกระดูกสันหลัง (Vertebrates) และพวกไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrates) นับว่าอริสโตเติลเป็นผู้บุกเบิกความรู้ทางด้านนี้จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก