นักปรัชญายุคฟื้นฟูที่สำคัญ
สมัยฟื้นฟู
ยุคนี้ รัฐ กลับมามีอำนาจขึ้นอีกครั้ง สันตะปาปาต้องต่อสู้กับการเกิดใหม่ของรัฐ มีการแยกรัฐออกจากศาสนาอย่างชัดเจน ยุคนี้มีการพัฒนาของรัฐอย่างชัดเจน มีสงคราม มีการล่าอาณานิคม การขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรม
นักบุญโทมัส อะไควนัส (Saint Thomas Aquinas) ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย นอกจากพระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น
พระสงฆ์และนักปราชญ
(ค.ศ. 1225-1275)
ท่าน ชอบเทศน์สอนให้คนจนฟังและเขียนข้อพระธรรมคำสอนบทภาวนาบทสวดสรรเสริญศีลมหา สนิทที่พระศาสนจักรบังคับใช้ทุกวันนี้ หนังสือปรัชญาและเทวศาสตร์ที่ท่านเขียนเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ที่สุดอันดับ หนึ่งสังคยานาวาติกันที่2ก็ได้อ้างอิงคำสั่งสอนของท่านอย่างมากทีเดียว ท่านได้รับเกียรติด้วยการที่พระศาสนาจักรขนานนามท่านว่า >>นักปราชญ์เทวดา<<นักบุญอไควนัส แบ่งประเภทของกฎต่างๆ ออกเป็น 4 ประเภทตามลำดับ คือ
1 กฎนิรันดร เป็นกฎสูงสุด ถือได้ว่าเป็นแผนการสร้างโลกของพระผู้เป็นเจ้า
2 กฎธรรมชาติ เป็นกฎสูงสุดรองลงมา และว่าด้วยเหตุผล คุณธรรม ความยุติธรรม ซึ่งเป็นกฎแห่งความประพฤติที่สอดคล้องกับกฎนิรันดร
3 กฎศักดิ์สิทธิ์ เป็นกฎรองลงมา และว่าด้วยหลักประพฤติปฏิบัติทางศาสนา 2 กฎธรรมชาติ เป็นกฎสูงสุดรองลงมา และว่าด้วยเหตุผล คุณธรรม ความยุติธรรม ซึ่งเป็นกฎแห่งความประพฤติที่สอดคล้องกับกฎนิรันดร
4 กฎหมายของมนุษย์ เป็นกฎต่ำสุด และกำหนดหลักประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ในทางโลก
จอห์นแห่งซอสเบอรี่ หรือ จอห์น คริสซอสตอม (John of Salisbury) วจนะน้ำผึ้ง
นักบุญจอห์น คริสซอสตอม ( ค.ศ. 347 - 14 กันยายน ค.ศ. 407) เป็นอาร์ชบิชอปแห่งคอนสแตนติโนเปิลและเป็นนักปราชญ์แห่งคริสตจักรคนสำคัญ
นักบุญจอห์น คริสซอสตอมมีชื่อเสียงว่าเป็นนักเทศน์และนักปาฐกถาผู้มีฝีปากดี ในการประกาศต่อต้านของการใช้อำนาจในทางที่ผิดของทั้งผู้นำทางการเมืองและทาง ศาสนา, "คริสต์ศาสนพิธีฉบับนักบุญจอห์น คริสซอสตอม" และ หลักการปฏิบัติทางศาสนา หลังจากการเสียชีวิตของแล้วนักบุญจอห์นก็ได้รับนามสกุลเป็นภาษากรีกว่า "Chrysostomos" ที่แปลว่า "วจนะน้ำผึ้ง" ที่แผลงมาเป็นภาษาอังกฤษว่า "Chrysostom" ชาวโรมันคาทอลิกและ อีสเทิร์นคาทอลิกถือว่าจอห์น คริสซอสตอมเป็นนักบุญและเป็นหนึ่งในไฮเออราร์คผู้ศักดิ์สิทธิ์สามองค์ ร่วมกับ นักบุญเบซิลแห่งเซซาเรียและนักบุญเกรกอรีแห่งนาเซียนซัส นิกายออร์ทอดอกซ์และนิกายโรมันคาทอลิกถือว่าเป็นนักปราชญ์แห่งคริสตจักร ส่วนคอปติกออร์ทอดอกซ์ถือว่าเป็นนักบุญ
นักบุญจอห์น คริสซอสตอมมีชื่อเสียงว่าเป็นนักเทศน์และนักปาฐกถาผู้มีฝีปากดี ในการประกาศต่อต้านของการใช้อำนาจในทางที่ผิดของทั้งผู้นำทางการเมืองและทาง ศาสนา, "คริสต์ศาสนพิธีฉบับนักบุญจอห์น คริสซอสตอม" และ หลักการปฏิบัติทางศาสนา หลังจากการเสียชีวิตของแล้วนักบุญจอห์นก็ได้รับนามสกุลเป็นภาษากรีกว่า "Chrysostomos" ที่แปลว่า "วจนะน้ำผึ้ง" ที่แผลงมาเป็นภาษาอังกฤษว่า "Chrysostom" ชาวโรมันคาทอลิกและ อีสเทิร์นคาทอลิกถือว่าจอห์น คริสซอสตอมเป็นนักบุญและเป็นหนึ่งในไฮเออราร์คผู้ศักดิ์สิทธิ์สามองค์ ร่วมกับ นักบุญเบซิลแห่งเซซาเรียและนักบุญเกรกอรีแห่งนาเซียนซัส นิกายออร์ทอดอกซ์และนิกายโรมันคาทอลิกถือว่าเป็นนักปราชญ์แห่งคริสตจักร ส่วนคอปติกออร์ทอดอกซ์ถือว่าเป็นนักบุญ
ฌอง โบแดง (Jean Bodin) ความมีอำนาจสูงสุดของกษัตริย์
ท่านเป็นนักปรัชญาการเมืองของโลกตะวันตก ชาวฝรั่งเศส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ พ.ศ. 2100 และเป็นคนแรกที่ริเริ่มใช้คำว่า “อำนาจอธิปไตย” ในความหมายที่เข้าใจได้ในปัจจุบัน กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่ง โบแดง ได้เสนอปรัชญาเกี่ยวกับทฤษฎีอำนาจอธิปไตยในหนังสือเรื่อง “Six Books” ไว้ว่า “อำนาจเป็นเครื่องหมายที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างรัฐกับสังคมอื่น ๆ ที่ครอบครัวหลายครอบครัวอยู่ร่วมกัน และพรรณนาว่าครอบครัวเป็นพลเมืองของรัฐ ซึ่งต้องยอมอยู่ภายใต้อำนาจปกครอง และการยอมรับในอำนาจปกครองของพลเมืองผู้อยู่ใต้การปกครองของรัฐนั้น
โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) โดยสภาพธรรมชาติ มนุษย์เป็นคนเห็นแก่ตัวยึดมั่นในตัวตน และการรักษาตัวเอง
(5 เมษายน พ.ศ. 2131 (ค.ศ. 1588) - 4 ธันวาคม พ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679)) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานที่สำคัญคือหนังสือชื่อ Leviathan ที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2194 หนังสือเล่มนี้กลายเป็นฐานประเด็นในแนวปรัชญาการเมืองตะวันตกในสมัยต่อมาในเกือบทุกแนว แนวคิดนี้ฮ็อบส์ได้มาจากทฤษฎีการแสดงเจตนาโดยปริยายในกฎหมายลักษณะสัญญาของ ประเทศอังกฤษ ฮ็อบส์ยืนยันว่าประชาชนตกลงกันในหมู่ของพวกเขาเองที่จะละวางสิทธิตาม ธรรมชาติที่เท่าเทียมและอิสระ และมอบสิทธิอันเด็ดขาดให้แก่รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งอาจเป็นบุคคลคนเดียวหรือคณะบุคคลก็ได้ รัฏฐาธิปัตย์จะได้บัญญัติและบังคับกฎหมายเพื่อรักษาความสงบในสังคม,ให้ซึ่ง ชีวิต,เสรีภาพ,และความสามารถในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งฮ็อบส์เรียกข้อตกลงอันนี้ว่า “สัญญาประชาคม”
โทมัส ฮอบส์ กับ สัญญาประชาคม รัฐเกิดขึ้นจากเจตนาของมนุษย์มิได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ฮอบส์มองว่าสภาวะตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของ ตนเอง ดังนั้นสัญชาตญานของมนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ต่างก็ไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ต่างก็กำหนดกฎเกณฑ์ของตนเอง ตัดสินข้อขัดแย้งของตนเองกับผู้อื่น มนุษย์ไม่มีสังคม เป็นสภาวะตามธรรมชาติที่ไม่มีระเบียบหรือกฎเกณฑ์ใดๆ มาควบคุม เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสภาวะดังกล่าว ทุกๆ คนในประชาคมจึงต้องก่อพันธสัญญาขึ้นมาให้ยับยั้งซึ่งกันและกัน รักษาสิทธิของทุกคนโดยผ่านรัฐ ผู้ที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นจึงถูกลงโทษด้วยอำนาจของรัฐนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น