วิวัฒนาการลัทธิการเมือง
เพลโต (427 ปีก่อนคริสตกาล)
- ราชาธิปไตย – ทรราษฎร์, ทุชนาธิปไตย
- อภิชนาธิปไตย - คณาธิปไตย
- ประชาธิปไตย - ฝูงชน
อริสโตเติล (384 ปีก่อนคริสตกาล)
- ราชาธิปไตย – ทรราษฎร์, ทุชนาธิปไตย
- อภิชนาธิปไตย - คณาธิปไตย
- โพลิตี - ฝูงชน
- ประชาธิปไตย - ฝูงชน
โธมัส ฮอบส์ (ศตวรรษที่ 16)
- ราชาธิปไตย (สัญญาประชาคม)
จอห์น ล็อค (กลางศตวรรษที่ 16)
- ประชาธิปไตย (สัญญาประชาคม)
- อำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ เป็นของประชาชน
- อธิปไตยทั้ง ๓ ส่วนนี้คานอำนาจซึ่งกันและกัน
ศตวรรษที่ 17 ลัทธิสุขวาทนิยม หรือสุขนิยม โดยเจเรมี เบนธัม
ศตวรรษที่ 18 ลัทธิเสรีนิยม เน้นหลักการ
- เสรีภาพส่วนบุคคล
- การค้าเสรี หรือเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ
ทำให้เกิดผล
1. เศรษฐกิจรุ่งเรือง
2. กำไรเป็นของนายทุน
3. กรรมกรทำงานหนัก รายได้น้อย
4. ไม่มีสวัสดิการจากนายจ้าง
5. มีการใช้แรงงานเด็ก
6. ทรัพย์สินอยู่ในมือเอกชนที่เป็นผู้ประกอบการ
7. เกิดแนวคิดสังคมนิยม เน้นสวัสดิการสังคมทั่วไป และเน้นทรัพย์สินที่เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจให้เป็นของรัฐ
ลัทธิสังคมนิยม (ต้นศตวรรษที่ 18) ศัพท์สังคมนิยมหรือโซเซียลิสต์เริ่มนำมาใช้ประมาณปี ค.ศ. 1830 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 ในระยะเริ่มแรก “โซเซียลิสต์” หมายถึง คำสอนหรือทฤษฎีของรอเบิร์ต โอเว่น(Robert Owen) สำหรับในประเทศฝรั่งเศสศัพท์นี้หมายถึงคำสอนของฟูริเย (Fourier) และแซงต์ - ซิม็อง
ลัทธิประชาธิปไตยเจริญสุดขีด (ปลายศตวรรษที่ 18 – ต้นศตวรรษที่ 19)
ลัทธิคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมแนวคาร์ล มาร์กซ์ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918)
ลัทธิฟาสซิสม์ (Fascism) โดยมุสโสลินี อิตาลี (ค.ศ. 1922)
ลัทธิชาตินิยมญี่ปุ่น (ค.ศ. 1930)
ลัทธินาซี โดยฮิตเลอร์ เยอรมันนี (ค.ศ. 1933)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1950) เกิดลัทธิการปกครอง 2 ลัทธิ
1. ประชาธิปไตย
ลัทธิทุนนิยม ลัทธิทุนนิยม ได้แก่
1. ระบบเศรษฐกิจเสรี
2. เอกชนประกอบการ
3. รัฐไม่ดำเนินการเอง ปล่อยให้เอกชนแข่งขันโดยเสรี
สมมุติฐานของลัทธิทุนนิยม
- ให้มีการแข่งขันโดยเสรี
- เศรษฐกิจก้าวหน้าเพราะต่างมุ่งกำไร
- เอกชนประกอบการย่อมขยันและกระตือรือร้น
- แข่งขันในการผลิตและจำหน่ายสินค้า ราคาจะไม่แพง คุณภาพย่อมจะดี
สภาพตามเป็นจริงที่เกิดขึ้น
- ก่อให้เกิดการผูกขาดโดยกลุ่มนายทุนขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูง ไม่มีการแข่งขัน กลายเป็นการผูกขาด สามารถกำหนดราคาที่ต้องการได้
- ในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีการแข่งขันสูง ทำให้มีการลดราคา สินค้าจะมีคุณภาพต่ำ
- รัฐไม่เข้าไปควบคุม ปล่อยให้มีการประกอบการโดยเสรี จะทำให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสเข้าเปรียบผู้บริโภค
2. ยุคทุนนิยม
- ทุนนิยมการค้า เน้นติดต่อค้าขายโดยเอกชน
- ทุนนิยมอุตสาหกรรม มีนายทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีกิจการต่างๆ ที่เป็นระบบอุตสาหกรรม
- ทุนนิยมทางการเงิน นายทุนคือธนาคารปล่อยเงินกู้เพื่อการลงทุน ในทางการค้าและอุตสาหกรรม มีความสำคัญและจำเป็นต่อระบบทุนนิยม
3. สังคมนิยมคอมมิวนิสต์แนวคาร์ล มาร์กซ์
- แพร่หลายในประเทศที่ยังไม่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เช่น จีน และโซเวียต
- อุดมการณ์คอมมิวนิสต์แพร่หลายในประเทศที่ไม่มีประสบการณ์ในการปกครองแบบประชาธิปไตย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น