นักปรัชญายุคโรมันที่สำคัญ
สมัยโรมัน
จะแตกต่างกับยุคกรีกอย่างมาก ในยุคนี้รัฐศาสตร์จะไม่ให้ความสำคัญกับรัฐในอุดมคติมากนักแต่จะเป็นพวก ปฏิบัตินิยม มากกว่าคือ มีระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้ปกครองและมีกฎหมาย แนวความคิดสำคัญของยุคนี้คือสิทธิส่วนบุคคล ความเท่าเทียมกัน และหลักประชาธิปไตย
ชิเซโร (Cicero) ความผิดพลาดประการหนึ่ง ของมนุษย์คือ ความหลงผิดว่าประโยชน์ส่วนตัวของเราจะได้มาก็โดยการบดขยี้คนอื่น เท่านั้น
เป็นนักการเมืองและนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของบโรมันได้บรรยายถึงกฎธรรมชาติตามแนวความคิดของสำนักสโตอิคไว้ดังนี้ "มีกฎหมายที่แท้จริงอยู่ประการหนึ่ง คือ เหตุผลที่ถูกต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ แผ่ซ่านไปในสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง มีผลใช้ได้ถาวรตลอดกาลมี่การเปลี่ยนแปลง เป็นกฎหมายที่บังคับให้มนุษย์ต้องปฏิบัติหน้าที่ห้ามกระทำความชั่ว และคอยเหนี่ยวรั้งให้พ้นจากความชั่วสุจริตชนย่อมไม่เพิกเฉยต่อบทบัญญัติและข้อห้ามของกฎหมายนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อกฎหมายนี้จะกระทำมิได้ ไม่ว่าจะกระทำโดยสภาซีเนตหรือโดยประชาชน ก็มิอาจได้รับการยกเว้นที่จะไม่ต้อง เคารพเชื่อฟังกฎหมายนี้ กหมายนี้จะไม่เป็นอย่างหนึ่งที่กรุงเอเธนส์และเป็นอีกอย่างหนึ่งที่กรุงโรม แต่จะเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับทุกชาติและทุกยุคสมัย”
คำกล่าวของซิเซโร เป็นการยืนยังถึงหลักการของแนวความคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติ โดยที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างกฎอันเป็นสากลขึ้นมาเพื่อปกครองโลก ถือเป็นหลักธรรมนูญของโลก กฎหมายดังกล่าวมีความถูกต้องและสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งมีเหตุผลและมีธรรมชาติที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสังคม กฎนี้จะเป็นอย่างเดียวกันสำหรับทุกมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ใช้ได้กับทุกคนและทุกสถานที่ กฎใดก็ตามที่มนุษย์สร้างขึ้นให้ขัดแย้งกับกฎนี้จะต้องถูกยกเลิกไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป
นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป (Saint Augustine of Hippo) มนุษย์ต้องแสวงหาพระเจ้า

เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 354 ที่เมืองทากาส ในประเทศแอลจีเรีย และถึงแก่กรรมเมื่อ 28 สิงหาคม ค.ศ. 430) ที่เมืองฮิปโปเรเจียส ในประเทศแอลจีเรีย เป็นนักปรัชญา นักเทววิทยา และเป็นบิชอปที่เมืองฮิปโปเรเจียส นักบุญออกัสตินเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวิวัฒนาการของคริสต์ศาสนาทางตะวันตก ถือกันว่าเป็นบิดาแห่งศาสนาและเป็นผู้ริเริ่มปรัชญาเกี่ยวกับ “ปฐมบาป” (Original sin) และ “สงครามยุติธรรม” (Just war)
ออกัสตินมีความเห็นว่า ในตัวมนุษย์ได้เกิดการต่อสู้ระหว่างความรัก 2 แบบคือ การรักพระเจ้าและการทำตามกฏศีลธรรม กับการรักพระองค์และรักโลกนี้ ดังนั้น ท่านจึงแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ค่าย คือกลุ่มที่ตัดสินใจรักในพระองค์ กับกลุ่มที่ตัดสินใจปฏิเสธพระเจ้าและรักตัวเองและรักโลกแทน จากสิ่งนี้เองท่านจึงมีทัศนะที่เชื่อมต่อเรื่องสังคมและรัฐ คือให้ทัศนะว่า รัฐ (State) มีความสำคัญน้อยกว่าศาสนจักร (Church) ท่านคิดเช่นนั้นก็เพราะว่า ศาสนจักรเป็นนครแห่งพระเจ้า ความยุติธรรมจะเกิดดฉพาะในรัฐและในสังคมที่เคารพบูชาพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น รัฐเป็นสิ่งไม่จำเป็น และไม่มีความสำคัญเท่าศาสนจักร เหตุผลพราะรัฐที่ไม่นับถือพระเจ้าย่อมไม่มีศีลธรรม ก่อเหตุร้ายต่าง ๆ เสมอ และหาความยุติธรรมในสังคมไม่ได้เลยนั้นเอง
ออกัสตินมีความเห็นว่า ในตัวมนุษย์ได้เกิดการต่อสู้ระหว่างความรัก 2 แบบคือ การรักพระเจ้าและการทำตามกฏศีลธรรม กับการรักพระองค์และรักโลกนี้ ดังนั้น ท่านจึงแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ค่าย คือกลุ่มที่ตัดสินใจรักในพระองค์ กับกลุ่มที่ตัดสินใจปฏิเสธพระเจ้าและรักตัวเองและรักโลกแทน จากสิ่งนี้เองท่านจึงมีทัศนะที่เชื่อมต่อเรื่องสังคมและรัฐ คือให้ทัศนะว่า รัฐ (State) มีความสำคัญน้อยกว่าศาสนจักร (Church) ท่านคิดเช่นนั้นก็เพราะว่า ศาสนจักรเป็นนครแห่งพระเจ้า ความยุติธรรมจะเกิดดฉพาะในรัฐและในสังคมที่เคารพบูชาพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น รัฐเป็นสิ่งไม่จำเป็น และไม่มีความสำคัญเท่าศาสนจักร เหตุผลพราะรัฐที่ไม่นับถือพระเจ้าย่อมไม่มีศีลธรรม ก่อเหตุร้ายต่าง ๆ เสมอ และหาความยุติธรรมในสังคมไม่ได้เลยนั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น